ไทยขยับเส้นตาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ดัน "ตลาดสีเขียว" รับมือวิกฤติโลกเดือด

ไทยขยับเส้นตาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ดัน "ตลาดสีเขียว" รับมือวิกฤติโลกเดือด

เมื่อ "ความยั่งยืน" ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดเพียงอย่างเดียวของไทย ในงานประชุมวิชาการ Thai SCP Network 2025 ได้มีการประกาศยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ทั้งการปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นจากปี 2065 มาเป็น 2050

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยประกาศเลื่อนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065 มาเป็นปี 2050
  • ภาครัฐจะผลักดัน "ตลาดสีเขียว" ผ่านนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Public Procurement) เพื่อให้บริษัทที่ต้องการประมูลงานรัฐต้องมีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • เตรียมบังคับใช้มาตรการและกฎหมายใหม่ เช่น Zero Food Waste สำหรับโครงการขนาดใหญ่ และแผนจัดการขยะพลาสติกที่ตั้งเป้ารีไซเคิล 100% ภายในปี 2570

เมื่อ "ความยั่งยืน" ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดเพียงอย่างเดียวของไทย ในงานประชุมวิชาการ Thai SCP Network 2025 ได้มีการประกาศยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ทั้งการปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นจากปี 2065 มาเป็น 2050 พร้อมกางแผนบังคับใช้ "การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว" และกฎหมายจัดการขยะอาหาร-พลาสติก เพื่อบีบให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวก่อนตกขบวนการค้าโลก

Net Zero 2050 เดิมพันครั้งใหม่ที่เร็วกว่าเดิม

ภัทรานันท์ ทองประพาฬ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการยืนยันว่า รัฐบาลไทยได้ปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) จากปี  2065 มาเป็น ปี  2050 ซึ่งหมายความว่าเรามีเวลาลดลงถึง 15 ปี

การขยับเส้นตายนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือการส่งสัญญาณถึงภาคอุตสาหกรรมว่า "เวลาของการผัดวันประกันพรุ่งหมดลงแล้ว" โดยรัฐบาลเตรียมใช้มาตรการ Zero Food Waste (ขยะอาหารเป็นศูนย์) มาเป็นเงื่อนไขบังคับในการทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมก่อสร้างในไทยไปอย่างสิ้นเชิง

จาก "อาสาสมัคร" สู่ "กลไกขับเคลื่อนระดับชาติ"

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธาน Thai SCP Network กล่าวว่าจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับจากเครือข่ายจิตอาสา สู่การเป็น "สมาคมส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (ประเทศไทย)" อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเป็นหัวหอกในการนำนวัตกรรมระดับโลกมาปรับใช้ในพื้นที่จริง

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโครงการในจังหวัดกระบี่ ที่เน้นการบริหารจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับสถาบัน IGES จากญี่ปุ่น เพื่อยกระดับมาตรฐานไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในระดับเอเชีย-แปซิฟิก

กลยุทธ์ "ตลาดสีเขียว" (Green Public Procurement)

ไฮไลต์สำคัญที่ภาคธุรกิจต้องจับตาคือการลงนาม MOU ระหว่างสมาคมฯ กับ กรมบัญชีกลาง และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อผลักดัน "การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว" ให้เกิดขึ้นจริง

กลยุทธ์นี้คือการใช้ "เม็ดเงินงบประมาณภาครัฐ" เป็นตัวนำทาง หากบริษัทใดต้องการประมูลงานภาครัฐ สินค้าและบริการนั้นต้องผ่านเกณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาตรการนี้จะกลายเป็นแรงผลักดันมหาศาล (Market Incentive) ที่บีบให้ผู้ผลิตต้องเร่งทำ Eco-design หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์สีเขียว เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ให้ได้

ไทยขยับเส้นตาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ดัน "ตลาดสีเขียว" รับมือวิกฤติโลกเดือด

สงครามพลาสติกและเศรษฐกิจหมุนเวียน 100%

ทางด้านกรมควบคุมมลพิษ โดยธนัญชัย วรรณสุข ได้ตอกย้ำถึง แผนปฏิบัติการจัดการขยะพลาสติกระยะที่ 2 (2566-2570) ที่ตั้งเป้าหมายแบบ "Zero Waste" คือการนำพลาสติกเป้าหมายกลับมารีไซเคิลให้ได้ 100% ภายในปี 2570

นี่ไม่ใช่แค่การรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกแบบเดิมๆ แต่เป็นการเข้าสู่ยุคของ "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" ซึ่งจะมีข้อบังคับทางกฎหมายที่เข้มข้นขึ้น ทั้งในเรื่องการห้ามใช้พลาสติกบางประเภท และการบังคับให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบซากผลิตภัณฑ์ของตนเอง (Extended Producer Responsibility: EPR)

ทางรอดในยุคโลกเดือด

SDG 12 หรือการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ไม่ได้เป็นเพียงเป้าหมายในกระดาษอีกต่อไป แต่กำลังถูกเปลี่ยนเป็น "กฎกติกาการแข่งขันใหม่" ของไทย

ความสำเร็จในอนาคตจะไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขกำไรเพียงอย่างเดียว แต่จะวัดที่ "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" และความสามารถในการหมุนเวียนทรัพยากร ใครที่ปรับตัวได้ก่อน ไม่เพียงแต่จะรอดพ้นจากวิกฤติสิ่งแวดล้อม แต่จะกลายเป็นผู้นำในตลาดสีเขียวที่มีมูลค่ามหาศาลในอนาคต

ไทยขยับเส้นตาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ดัน "ตลาดสีเขียว" รับมือวิกฤติโลกเดือด