ก่อนเส้นตาย 30 ม.ค. ดันเชียงใหม่ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก หากพลาดต้องรออีก 3 ปี

คณะกรรมการมรดกโลกแห่งชาติเห็นชอบการเสนอชื่อ "เชียงใหม่ นครหลวงของล้านนา" เป็นแหล่งมรดกโลก โดยต้องส่งเอกสารให้ทันก่อนเส้นตายวันที่ 30 มกราคม 2569
KEY
POINTS
- คณะกรรมการมรดกโลกแห่งชาติเห็นชอบการเสนอชื่อ "เชียงใหม่ นครหลวงของล้านนา" เป็นแหล่งมรดกโลก โดยต้องส่งเอกสารให้ทันก่อนเส้นตายวันที่ 30 มกราคม 2569
- หากเสนอชื่อไม่ทันตามกำหนด หรือเอกสารถูกส่งกลับ จะต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด ซึ่งใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 ปี
- พื้นที่ที่นำเสนอครอบคลุมกำแพงเมือง คูเมือง และโบราณสถานสำคัญ 7 แห่ง เพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นล้านนาที่มีคุณค่าโดดเด่น
เชียงใหม่ เมืองหลวงเก่าแห่งอาณาจักรล้านนา กำลังก้าวเข้าสู่หมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ หลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าผลักดันแหล่งวัฒนธรรมไทยสู่เวทีโลก เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 5/2568 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างเอกสารการนำเสนอ "เชียงใหม่ นครหลวงของล้านนา" เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก
การนำเสนอครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อผลักดันแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเชียงใหม่ ซึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์ของความเป็นล้านนาที่มีคุณค่าโดดเด่นเป็นสากล (Outstanding Universal Value: OUV) โดยพื้นที่นำเสนอครอบคลุม 383 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งโบราณสถานที่สำคัญ
แหล่งมรดกที่ถูกนำเสนอ ประกอบด้วย กำแพงเมืองและคูเมืองเชียงใหม่ พร้อมทั้งโบราณสถานสำคัญ ได้แก่ วัดเชียงมั่น, วัดเจดีย์หลวง, วัดพระสิงห์, วัดบุพาราม (หรือ วัดสวนดอก), โบราณสถานวัดอุโมงค์สวนพุทธธรรม, วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร, และโบราณสถานธาราม (หรือ วัด 7 ยอด) โดยวัดเหล่านี้เป็นตัวแทนของศิลปะล้านนา 7 แห่ง
ทั้งนี้ "เชียงใหม่ นครหลวงของล้านนา" อยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (tentative list) ที่ประเทศไทยจะนำเสนอมาตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเท่ากับครบรอบ 10 ปีพอดีในปีนี้
เร่งนำเสนอ ครม. ก่อนเส้นตาย 30 มกราคม
คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นผู้ประสานงานหลักในการดำเนินการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยด่วน เนื่องจากมี กำหนดเส้นตายในการจัดส่งเอกสารภายในวันที่ 30 มกราคม ปี 2569
ความเร่งด่วนนี้เกิดจากการที่รอบปี 2569 ถือเป็นปีสุดท้ายของการยื่นเอกสารที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการประเมินขั้นต้น หากเลยกำหนดดังกล่าว หรือเอกสารถูกศูนย์มรดกโลกส่งกลับ ประเทศไทยจะต้องเริ่มกระบวนการจัดทำเอกสารใหม่ตามขั้นตอนการประเมินขั้นต้น ซึ่งจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันอย่างเต็มที่ในการนำเสนอเมืองเชียงใหม่สู่มรดกโลก คาดว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนในชาติ และจะส่งผลดีในเชิงเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่สนใจในด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำรายได้มาสู่ชุมชน จังหวัด และประเทศให้ดีขึ้น ดังเช่นกรณีของสุโขทัยและอยุธยาที่เคยเป็นตัวอย่างความสำเร็จมาแล้ว
“ภูมิทัศน์วัฒนธรรม” ที่มีคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล
การเสนอชื่อเชียงใหม่ครั้งนี้อยู่ในประเภท แหล่งมรดกวัฒนธรรมแบบภูมิทัศน์วัฒนธรรม (Cultural Landscape) โดยชูคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลภายใต้เกณฑ์ของยูเนสโก (UNESCO) 2 ข้อสำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านการสร้างเมืองและความเชื่อทางพุทธศาสนาแบบเถรวาท ที่รับอิทธิพลจากศิลปะหริภุญชัย พุกาม และสุโขทัย ก่อนหลอมรวมอย่างกลมกลืน จนพัฒนาเป็น “ศิลปะแบบล้านนา” อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่เกณฑ์ข้อที่ 3 เน้นย้ำบทบาทของเชียงใหม่ในฐานะเมืองหลวงสำคัญของอารยธรรมล้านนา ซึ่งมีหลักฐานทางโบราณคดี สถาปัตยกรรม ประติมากรรม งานประณีตศิลป์ และขนบธรรมเนียมประเพณีที่สะท้อนการอยู่ร่วมกันของผู้คนบนพื้นฐานพุทธศาสนาแบบเถรวาทอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคปัจจุบัน
มรดกโลกที่มี “ชุมชน” เป็นหัวใจ
หากเชียงใหม่ได้รับการขึ้นทะเบียน จะนับเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งแรกของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดและชุมชนท้องถิ่นทั้งหมด แตกต่างจากแหล่งมรดกโลกไทยอีก 8 แห่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานรัฐโดยตรง ซึ่งหมายความว่าการอนุรักษ์ ปกป้อง และพัฒนา จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรท้องถิ่น
องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ได้สนับสนุนงบประมาณในระยะเริ่มต้น ขณะที่ภาคเอกชนและภาคประชาชนร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ เพื่อให้การพัฒนาเมืองเก่าและแหล่งศักดิ์สิทธิ์เป็นไปอย่างสมดุล สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของยูเนสโก และไม่กระทบวิถีชีวิตของชุมชน
ในช่วงก่อนการลงพื้นที่ประเมินของ ICOMOS ทุกฝ่ายเร่งปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะสม ทั้งด้านการอนุรักษ์ภูมิทัศน์ การจัดการนักท่องเที่ยว และการสื่อสารคุณค่าทางวัฒนธรรม เพื่อสะท้อนภาพของเชียงใหม่ในฐานะเมืองมีชีวิต







