เสี่ยงหายนะ ชายฝั่งไทยหาย 80% หากยังเพิกเฉยต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล

เสี่ยงหายนะ ชายฝั่งไทยหาย 80% หากยังเพิกเฉยต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด ชายหาดของไทยอาจหายไปถึง 80% ภายในปี 2100 หากยังเพิกเฉยต่อปัญหาระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด ชายหาดของไทยอาจหายไปถึง 80% ภายในปี 2100 หากยังเพิกเฉยต่อปัญหาระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น
  • การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเป็นภัยคุกคามแบบค่อยเป็นค่อยไป (Slow Onset Event) ทำให้ผู้คนไม่ตระหนักถึงปัญหา ขณะที่โครงสร้างวิศวกรรมแบบเดิมไม่สามารถรับมือได้
  • ผลกระทบที่รุนแรงยังรวมถึงการสูญเสียระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลนและแนวปะการัง รวมถึงปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำพื้นที่เกษตรกรรม
  • แนวทางแก้ไขที่ถูกเสนอคือการใช้มาตรการแบบผสมผสาน (Green-Gray Hybrid Solution) และการสร้างความตระหนักรู้เพื่อให้ชุมชนชายฝั่งปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง

การเสวนาในงาน Thailand Climate Action Conference 2025 (TCAC2025) ภายใต้หัวข้อ “Slow Onset Event: เราจะอยู่กับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างไร” ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคาดการณ์การสูญเสียชายหาดของประเทศไทยในอัตราที่สูงลิ่ว และความล้มเหลวของมาตรการทางวิศวกรรมแบบเดิมในการรับมือกับภัยคุกคามที่มาอย่างต่อเนื่องนี้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 ท่านร่วมให้มุมมองจากหลากหลายมิติ

ภัยคุกคามที่ผู้คนไม่ทันสังเกต

"ผศ.ดร.วัชรพงษ์ หงส์จำรัสศิลป์" อาจารย์และนักชีววิทยาประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า SLR (Sea Level Rise) เป็นตัวอย่างของ “Slow Onset Event” หรือปรากฏการณ์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ต่างจาก “Fast Onset” เช่น พายุ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความยากของ Slow Onset คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละน้อยนั้นทำให้ผู้คนไม่สังเกตเห็น จนกระทั่งสายเกินไปที่จะแก้ไข

สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลมาจากภาวะโลกร้อน ที่เร่งให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยเห็นได้ชัดจากภาพถ่ายของ NASA ที่เปรียบเทียบสภาพขั้วโลกเหนือระหว่างปี 1984 และ 2016

"ดร. วัชรพงษ์" ชี้ว่า ผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งมีความรุนแรง และในหลายกรณีอาจ ไม่สามารถย้อนกลับได้ (irreversible) ได้แก่

  • ป่าชายเลน ซึ่งทำหน้าที่เป็นปราการธรรมชาติ อาจไม่สามารถปรับตัวได้ทันและทยอยตายลง หากระดับน้ำทะเลยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • แนวปะการัง จะได้รับแสงแดดน้อยลงเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการฟอกขาวและการตายของปะการัง โดยการฟื้นฟูต้องใช้เวลานานถึง 5–10 ปี เพื่อให้เติบโตได้เพียงไม่กี่เซนติเมตร
  • ภาวะน้ำทะเลเป็นกรด (Ocean Acidification) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์แบบ Slow Onset Event ทำให้เปลือกของสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น หอย กุ้ง กั้ง และปู บางลง ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและความมั่นคงของระบบนิเวศทางทะเล

ในฐานะนักชีววิทยา "ดร.วัชรพงษ์" เสนอทางออกหนึ่งคือการใช้วิทยาศาสตร์พลเมือง (Citizen Science) โดยให้ประชาชนที่อยู่ตามชายฝั่งช่วยกันเก็บข้อมูลระดับน้ำขึ้นลงสูงสุดและต่ำสุด เพื่อให้นักวิจัยและภาครัฐมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการกำหนดมาตรการต่อไป นอกจากนี้ รัฐควรมีนโยบายที่ส่งเสริมการทำวิจัยที่ผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมานุษยวิทยา เพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุที่ชุมชนไม่ต้องการย้ายถิ่นฐานหรือปรับตัว ซึ่งอาจมาจากประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมในพื้นที่

ชายหาดไทยอาจหายไป 80%

"รศ.ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง" เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชายฝั่ง จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปรียบเทียบ Slow Onset Event ว่าเหมือนการเคลื่อนที่ของ “เข็มชั่วโมง” ที่มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่เคลื่อนที่แน่นอน

โดยได้นำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ CMIP 6 ซึ่งเป็นแบบจำลองใหม่ที่ละเอียดกว่าเดิม โดยชี้ว่า หากอยู่ในสถานการณ์กลาง (SSP 4.5) ชายหาดของไทยจะหายไปทั้งหมด 61% ภายในปี 2100 และในกรณีเลวร้ายที่สุด (SSP 8.5) ชายหาดอาจหายไปถึง 80% การสูญเสียพื้นที่ชายหาดนี้เกิดจากระดับน้ำทะเลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.5 ถึง 0.7 เมตร หาดที่มีความลาดชันต่ำจะสูญเสียพื้นที่ไปอย่างมาก แม้ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ตาม

โครงสร้างทางวิศวกรรมชายฝั่งที่วิศวกรใช้ในปัจจุบัน (เช่น กำแพงกันคลื่น เขื่อนกันคลื่นนอกฝั่ง) ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล แต่ใช้เพื่อรับมือกับการกัดเซาะจากคลื่นเท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ภาพแสดงน้ำทะเลในช่วงมรสุมปกติสามารถยกข้ามกำแพงกันคลื่นแบบสองชั้นเข้ามาท่วมพื้นที่ด้านหลังได้ แสดงให้เห็นว่า วิศวกรรมอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการขาดความตระหนักรู้ในระดับพื้นที่ "ดร.สมปรารถนา" เผยผลการสำรวจครัวเรือนชายฝั่ง 322 ครัวเรือน พบว่า 50% ไม่เคยได้ยินคำว่าการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) และเมื่อเกิดภัยพิบัติ ชาวบ้านส่วนใหญ่เลือกที่จะภาวนา นโยบายที่ซับซ้อนใดๆ ก็ตามจะไม่สามารถนำไปใช้ได้ผล หากชาวบ้านในพื้นที่ไม่เข้าใจหรือไม่ได้มีส่วนร่วม

"Green-Gray Hybrid Solution" เพื่อความยืดหยุ่น

"ปรมินทร์ แสนทรงศักดิ์" ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ปัจจุบันชายฝั่งไทยยาว 3,151 กิโลเมตร และประสบปัญหาการกัดเซาะแล้วถึง 860 กิโลเมตร ทช. ได้กำหนดมาตรการแก้ปัญหาเป็น 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ มาตรการ สีขาว (การกำหนดแนวถอยร่น) สีเขียว (การปลูกป่าชายเลน/พืชพรรณ) และ สีเทา (การใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม)

อย่างไรก็ตาม ทช. ตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับตัวต่อ SLR จึงได้ริเริ่มแนวทาง Green-Gray Hybrid Solution ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างมาตรการสีเขียวและสีเทา โดยใช้หลักการ Nature Based Solution (NBS) เพื่อเลียนแบบโครงสร้างและฟังก์ชันของระบบนิเวศ ซึ่งจะช่วยลดแรงคลื่นและสร้างสมดุลตะกอน

"ปรมินทร์" ยกตัวอย่างการใช้แนวทางนี้ เช่น การเติมทรายชายหาดควบคู่กับการสร้างหัวหาดเลียนแบบธรรมชาติ หรือการปลูกป่าชายเลนร่วมกับเขื่อนกันคลื่นในพื้นที่หาดโคลน การใช้มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ปกป้องชายฝั่ง แต่ยังสามารถสร้างประโยชน์ที่หลากหลาย เช่น การท่องเที่ยว การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และการกักเก็บคาร์บอน (Blue Economy)

การปรับตัวไม่ใช่ทางเลือก

"ระเบียบ ภูผา" ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ยืนยันถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ โดยระบุว่า อุณหภูมิโลกปีล่าสุดได้แตะไปที่ 1.75 องศาเซลเซียส แล้ว แม้ว่าเป้าหมายตามความตกลงปารีสคือ 1.5 องศาเซลเซียสก็ตาม การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมินี้ส่งผลให้ภัยพิบัติเกิด “ถี่ขึ้น แรงขึ้น”

"สำหรับประเทศไทย ผลกระทบของ SLR คือ การเพิ่มขึ้นของระดับความเค็มของน้ำที่ลุกขึ้นไปในแผ่นดินชั้นใน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลนั้น มาแล้วไม่ลด และถึงแม้รัฐจะพยายามลดก๊าซเรือนกระจกแล้วก็ตาม เราต้องปรับตัว ถ้าเราไม่ปรับตัว เราก็จะอยู่ไม่ได้”

การดำเนินการเรื่องการปรับตัวต่อ SLR ต้องทำในลักษณะ “บูรณาการ” โดยที่ภาครัฐจะต้องถามประชาชนในพื้นที่ก่อนว่า โครงการที่กำลังจะทำนั้น เป็นความต้องการของพวกเขาหรือไม่ และประชาชนในพื้นที่รวมถึงภาคส่วนอื่นๆ จะได้รับประโยชน์อะไรจากการทำโครงการนั้น