ประกันภัย 'เกราะกำบัง' ใหม่ รับมือความเสี่ยงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรง

ประกันภัย 'เกราะกำบัง' ใหม่ รับมือความเสี่ยงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรง

ขณะที่ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คณะกรรมการบริษัท (Board) ทั่วโลกไม่สามารถพึ่งพาแค่ประกันภัยแบบดั้งเดิมเพื่อปกป้องมูลค่าขององค์กรได้อีกต่อไป

KEY

POINTS

  • ประกันภัยแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความเสี่ยงภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมประกันภัยต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้จ่ายค่าสินไหมมาเป็นพันธมิตรเชิงรุกในการสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ
  • มีการนำเสนอนวัตกรรมประกันภัยรูปแบบใหม่ๆ เช่น ประกันภัยแบบพาราเมตริกที่จ่ายเงินอัตโนมัติตามดัชนีที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และประกันภัยที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนซึ่งมอบส่วนลดเบี้ยประกันเพื่อจูงใจให้ลงทุนในการปรับตัว
  • บริษัทประกันภัยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI และการวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เพื่อสร้างแบบจำลองความเสี่ยงที่แม่นยำ และขยายบริการสู่การให้คำปรึกษาเพื่อช่วยลูกค้าวางแผนป้องกันความเสี่ยง

ขณะที่ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คณะกรรมการบริษัท (Board) ทั่วโลกไม่สามารถพึ่งพาแค่ประกันภัยแบบดั้งเดิมเพื่อปกป้องมูลค่าขององค์กรได้อีกต่อไป

ซึ่ง "จุดบอด" ที่ทำให้สินทรัพย์ของบริษัทตกอยู่ในความเสี่ยง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้เปิดประตูสู่คลื่นลูกใหม่ของโมเดลประกันภัยเชิงนวัตกรรม ที่เสนอเครื่องมือเชิงรุกในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสินทรัพย์ รักษาเสถียรภาพการดำเนินงาน และปลดล็อกการสร้างมูลค่าในระยะยาว

นวัตกรรมเหล่านี้กำลังเปลี่ยนบทบาทของอุตสาหกรรมประกันภัย จากเพียงผู้จ่ายค่าสินไหมทดแทน มาเป็น พันธมิตรเชิงรุกในการสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) ให้กับธุรกิจ

วิวัฒนาการของประกันภัยความเสี่ยงทางกายภาพจากสภาพภูมิอากาศ

ภูมิทัศน์ของประกันภัยความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากความก้าวหน้าในการวิเคราะห์ภูมิสารสนเทศ (Geospatial Analytics) การสร้างแบบจำลองด้วย AI และความร่วมมือข้ามภาคส่วน บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ เช่น Zurich Insurance, AXA, และ Swiss Re ต่างใช้เครื่องมือสร้างแบบจำลองความเสี่ยงที่มีความแม่นยำสูงในระดับสินทรัพย์ (Asset-level intelligence) สำหรับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า พายุ และภัยแล้ง

แบบจำลองเหล่านี้เป็นรากฐานสำหรับกลไกประกันภัยใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในเชิงพาณิชย์ โดยมีแบบแผนมาจากความพยายามของ World Bank Group และ International Finance Corporation (IFC) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดเกิดใหม่

นวัตกรรมประกันภัยที่องค์กรธุรกิจเลือกใช้

ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องและมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้แก่

ประกันภัยแบบพาราเมตริก (Parametric Insurance)

  • หลักการ: ไม่ต้องรอการประเมินความเสียหายจริง แต่จ่ายเงินอัตโนมัติเมื่อดัชนีที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เช่น ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิที่เกินเกณฑ์ หรือความเร็วลม) ถึงเกณฑ์ที่ตกลงไว้
  • จุดเด่น: จ่ายเงินได้รวดเร็ว ช่วยให้ธุรกิจหรือชุมชนฟื้นตัวได้ทันทีโดยไม่มีข้อพิพาทเรื่องการเรียกร้องสินไหม การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาโดยอิงจากดัชนีปริมาณน้ำฝน เป็นตัวอย่างที่ World Bank และ IFC ได้ริเริ่มมานานแล้ว โดยปัจจุบัน AXA และ Zurich Insurance ก็เริ่มนำเสนอในเชิงพาณิชย์
  • ในบริบทของไทย: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงจากภัยแล้งและน้ำท่วม การประยุกต์ใช้ ประกันภัยพืชผลแบบพาราเมตริก ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีการดำเนินการผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมาถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่ช่วยรักษาเสถียรภาพรายได้ของเกษตรกร โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูลสภาพอากาศมาเป็นตัวขับเคลื่อน

ประกันภัยที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability-linked Insurance)

  • หลักการ: โครงสร้างกรมธรรม์ที่ฝังแรงจูงใจให้ลูกค้าลงทุนในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ
  • จุดเด่น: ผู้เอาประกันภัยจะได้รับรางวัล เช่น ส่วนลดเบี้ยประกัน หากสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยืดหยุ่นหรือการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (เช่น การติดตั้งระบบป้องกันน้ำท่วมที่ดีขึ้น) เป็นการเปลี่ยนเบี้ยประกันเป็นเครื่องมือสร้างการลงทุนเพื่อความยืดหยุ่น

พันธบัตรความยืดหยุ่น (Resilience Bonds)

  • หลักการ: ระดมทุนจากตลาดทุนเพื่อใช้ในโครงการป้องกันความสูญเสียในระดับโครงสร้างพื้นฐานหรือระดับเมือง (เช่น การสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม หรือระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ)
  • จุดเด่น: เป็นเครื่องมือที่ช่วยกระจายความเสี่ยงทางการเงินจากภัยพิบัติไปสู่นักลงทุน (Catastrophic Bonds) ในขณะเดียวกันก็ระดมทุนเพื่อมาตรการป้องกันเชิงรุก (Resilience Bonds) ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ TOKYO Resilience Bondที่ออกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2568 เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานในเขตมหานครโตเกียว

จากผู้จ่ายเงินสู่ 'พันธมิตร' ด้านความยืดหยุ่น

บริษัทประกันภัยระดับโลกไม่ได้หยุดอยู่แค่การขายกรมธรรม์ แต่กำลังขยายบริการให้คำปรึกษาที่ตรงเป้าหมาย (Targeted Consultancy) เช่น Zurich Insurance ได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจ Resilience Solutions (ZRS) แยกต่างหากจากการรับประกันภัย เพื่อทำงานร่วมกับทีมวิศวกรและที่ปรึกษาของลูกค้าในการกำหนดแผนการปรับตัวที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้เบี้ยประกันลดลงได้

นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่บางแห่งยังสำรวจรูปแบบ การประกันตนเอง (Self-insured alternatives) หรือแบบผสม เช่น Maersk ที่มีแขนด้านประกันภัยภายใน (Maersk Cargo Insurance - MSI) เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่าง AI, การถ่ายภาพภูมิสารสนเทศ และการมีข้อมูลที่พร้อมใช้งาน บริษัทประกันภัยจึงสามารถร่วมสร้างสรรค์ (Co-create) โซลูชันกับลูกค้าที่มีความสำคัญได้อย่างเป็นรูปธรรม

คณะกรรมการบริษัทในฐานะผู้ดูแลผลประโยชน์ของบริษัทที่ดี ควรตระหนักว่าเครื่องมือการโอนความเสี่ยงแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอหรือมีราคาแพงเกินไปในอนาคต ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง สืบค้น เรียนรู้ และนำมาตรการที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิมเหล่านี้มาปรับใช้ เพื่อให้มั่นใจถึงการปกป้องและการสร้างมูลค่าของบริษัทในระยะยาว ท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่คาดเดาได้ยากและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

ที่มา : World Economic Forum