โลกร้อนเร่งน้ำท่วมหลายประเทศหนักเกินคาด ยุคภัยพิบัติเชื่อมต่อ ทะเล–เมือง

ภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงบ่อยครั้งขึ้นทั่วโลก สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินหนักกว่าที่คาดการณ์ไว้
KEY
POINTS
- ภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงบ่อยครั้งขึ้นทั่วโลก สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินหนักกว่าที่คาดการณ์ไว้
- ภัยพิบัติน้ำท่วมบนบกเชื่อมโยงกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้เมืองชายฝั่งทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยงซ้ำซ้อน และต้องปรับตัวด้วยแนวคิดอย่าง "เมืองฟองน้ำ"
- น้ำท่วมส่งผลกระทบเป็นโดมิโนสู่ระบบนิเวศทางทะเล โดยน้ำจืดและตะกอนมหาศาลที่ไหลลงทะเลได้ทำลายแนวปะการัง แหล่งหญ้าทะเล และกระทบต่อสัตว์น้ำชายฝั่ง
รายงานล่าสุดของ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) เตือนชัดเจนว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่น้ำท่วม ทั้งจากฝนตกหนักและน้ำจากธารน้ำแข็งเกิดบ่อยขึ้น รุนแรงขึ้น และคร่าชีวิตมากขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญคือภาวะโลกร้อนซึ่งทำให้ “อากาศเก็บไอน้ำได้มากขึ้น 7% ต่อทุก 1°C ที่เพิ่มขึ้น” ส่งผลให้เกิดฝนสุดขั้วในหลายภูมิภาคทั่วโลก
"สเตฟาน อูเลินบรุก" ผู้อำนวยการด้านอุทกวิทยา WMO ระบุว่า ฝนตกหนักฉับพลันไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กำลังถี่ขึ้นและแรงขึ้นอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน จากความเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เมืองขยายตัวรวดเร็ว และอุณหภูมิโลกที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง
สถิติในช่วงสิบปี ปี 2020 น้ำท่วมในเอเชียใต้คร่าชีวิตกว่า 6,500 คน และสร้างความเสียหายกว่า 105,000 ล้านดอลลาร์ ต่อมาในปี 2022 น้ำท่วมใหญ่ปากีสถานทำลายบ้านเรือน 33 ล้านคน เสียหายกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ย้อนความก้าวหน้าการพัฒนาหลายปี
ปีนี้ สถานการณ์ยิ่งตอกย้ำสัญญาณอันตราย เดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว เอเชียตะวันตก เอเชียตะวันออก และสหรัฐอเมริกา เผชิญน้ำหลากจากมรสุม น้ำป่าจากธารน้ำแข็งแตก และฝนถล่มกลางดึกแบบไร้สัญญาณเตือนล่วงหน้า
ธนาคารโลกประเมินว่า 1.81 พันล้านคน (1 ใน 4) อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมระดับ 1-in-100-year และ 89% อยู่ในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งมีระบบเตือนภัยไม่เพียงพอ
WMO จึงเดินหน้าโครงการ Early Warnings for All ตั้งเป้าให้ทุกประเทศบนโลกมีระบบเตือนภัยภายในปี 2027 เพื่อปิดช่องว่างการเตือนภัยที่สะท้อนโดยโศกนาฏกรรมในเทกซัส
ทั่วโลกเผชิญน้ำท่วมหนักกว่าที่เคยประเมิน
- เอเชียจมน้ำ ระลอกมรสุมที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
อินเดียและปากีสถานเผชิญฝนมรสุมหนักจนถนนขาด บ้านพัง และดินสไลด์หลายจังหวัด ปากีสถานต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังนักพยากรณ์เตือนว่าระดับน้ำในแม่น้ำเจลัมอาจพุ่งขึ้น “สูงเป็นประวัติการณ์”
ขณะเดียวกันในเกาหลีใต้ ฝนตกหนักระหว่าง 16–20 กรกฎาคมถึง 115 มม. ต่อชั่วโมง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ราย และอพยพกว่า 13,000 คน จีนตอนใต้ก็ไม่ต่างกัน เพียงหนึ่งวันหลังไต้ฝุ่นวิภาเข้าถล่มฮ่องกง ทางการต้องออกแจ้งเตือน “น้ำป่า–ดินถล่ม” ทันที
- สหรัฐฯ น้ำท่วมเทกซัสคร่าชีวิตกว่า 100 คน
คืนวันที่ 3 ต่อ 4 กรกฎาคม ฝน 10–18 นิ้วเทลงตามลุ่มน้ำกัวดาลูป ทำให้น้ำในแม่น้ำเพิ่ม 8 เมตรภายใน 45 นาที ความสูญเสียเลวร้ายยิ่งกว่าคาด ผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นเด็กหญิงที่ค่ายฤดูร้อนซึ่งถูกน้ำบุกในขณะหลับ แม้มีกระแสเตือนล่วงหน้า แต่การขาดระบบไซเรนในพื้นที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้
- เทือกเขาหิมาลัย ธารน้ำแข็งแตกถี่ขึ้นอย่างน่ากังวล
เหตุธารน้ำแข็งแตก (Glacial Lake Outburst Flood – GLOF) ที่เคยเกิดทุก 5–10 ปี ในปีนี้กลับเกิดหลายครั้งภายในเวลาไม่กี่เดือน ในเดือนพฤษภาคม–มิถุนายน 2025 เกิดเหตุ ถึง 3 ครั้ง ในเนปาล อัฟกานิสถาน และปากีสถาน และเกิดอีก 2 ครั้งในเนปาล ในวันที่ 7 กรกฎาคมเพียงวันเดียว ICIMOD เตือนว่า หากโลกร้อนต่อเนื่อง ความเสี่ยงน้ำท่วมจากธารน้ำแข็งอาจเพิ่มขึ้น “สามเท่า” ภายในสิ้นศตวรรษ
จีนต้นแบบ “เมืองฟองน้ำ”
ในมิติระยะยาว วิกฤติน้ำท่วมยังทวีความซับซ้อนจาก น้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง "ดร.สนธิ คชวัฒน์" นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย อ้างอิงรายงานล่าสุดของ IPCC และ WMO ว่า หากโลกร้อนไม่เกิน 1.5°C ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 1.7–3.2 ฟุตภายในปี 2100 แม้โลกจะควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ถึง 2°C ได้ แต่ภายในปี 2050 จะยังมี 570 เมือง และคนอีก 800 ล้าน ต้องเผชิญน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุนและพายุรุนแรง
“หลายประเทศทั่วโลกกำลังเร่งปรับตัวด้วยแนวคิด “เมืองฟองน้ำ” เพื่อเตรียมรับมือภัยพิบัติน้ำท่วมที่รุนแรงขึ้นตามภาวะโลกร้อน พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า แล้วประเทศไทยพร้อมแค่ไหน ในขณะที่งานวิจัยระดับนานาชาติ เช่น IPCC และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) คาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 1.7–3.2 ฟุตภายในปี 2100 และแม้จะควบคุมอุณหภูมิไม่ให้แตะ 2 องศาได้ แต่ภายในปี 2050 จะยังมีเมืองกว่า 570 แห่ง และประชากรราว 800 ล้านคนเผชิญความเสี่ยงจากน้ำทะเลหนุนและคลื่นพายุซัดฝั่งอยู่ดี”
จีนถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่เปิดตัวโครงการ “เมืองฟองน้ำ” เพื่อรับมือฝนตกหนักและน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น โดยตั้งเป้าให้อย่างน้อย 80% ของพื้นที่เมืองสามารถดูดซับน้ำฝนหรือหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 70% เมืองที่เข้าร่วมโครงการได้ลงทุนสร้างถนนแบบซึมน้ำได้ บ่อน้ำเทียม พื้นที่ชุ่มน้ำ สวนฝน รวมถึงถังเก็บน้ำใต้ดินและอุโมงค์น้ำ ที่ช่วยชะลอการไหลและระบายเมื่อระดับน้ำในแม่น้ำลดลง ทั้งหมดนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีต้นทุนสูง จึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการแบ่งปันผลตอบแทนและความเสี่ยง
เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่เผชิญความเสี่ยงต่อน้ำท่วมมากที่สุดในโลก ได้เร่งปรับตัวเชิงระบบอย่างจริงจัง โดยคาดว่าภายในปี 2050 เมืองจะเผชิญฝนหนักกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 20% ประกอบกับน้ำทะเลหนุนและพายุไต้ฝุ่น 2–3 ครั้งต่อปี ทางการท้องถิ่นจึงสร้างกำแพงป้องกันทะเลยาว 520 กิโลเมตร ครอบคลุมอ่าวหางโจวและพื้นที่รอบเกาะต่างๆ รวมถึงติดตั้งประตูกั้นน้ำขนาดใหญ่ในแม่น้ำคล้ายระบบป้องกันน้ำท่วมของเมืองรอตเตอร์ดัม เพื่อป้องกันน้ำล้นตลิ่งและลดความเสี่ยงภัยพิบัติ
ในภาพรวม ตั้งแต่เอเชียถึงยุโรป ตั้งแต่แอฟริกาถึงอเมริกา ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นถือเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั่วโลกจึงต้องขยายความพยายามทั้งด้านการบรรเทาและการปรับตัวให้เร็วขึ้นและครอบคลุมยิ่งขึ้น สำหรับประเทศไทยเอง รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนจำเป็นต้องร่วมกันหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง พร้อมเตรียมกรอบนโยบายและมาตรการรองรับ เพื่อให้ทันต่อภัยคุกคามใหม่ที่กำลังเร่งตัวตามสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
บนบกน้ำท่วม—ในทะเลเพิ่งเริ่มต้น
“ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเลและรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทะเลหลังน้ำท่วมขนาดใหญ่ โดยชี้ว่า “สุดทางของน้ำคือทะเล” เมื่อปริมาณน้ำจืดมหาศาลไหลลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและระบบนิเวศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะปรากฏการณ์ “น้ำเบียด” ที่น้ำจืดแบ่งชั้นและดันน้ำทะเลออก ทำให้ระดับความเค็มลดลงฉับพลันจนสัตว์น้ำจำนวนมากได้รับผลกระทบ เช่น กรณีปี 2554 ที่หอยตามชายฝั่งอ่าวไทยตายจำนวนมาก รวมถึงฟาร์มหอยเชิงพาณิชย์ซึ่งทำให้น้ำเสียตามมาเป็นปัญหาซ้ำซ้อน ขณะเดียวกันสัตว์น้ำบางชนิดพยายามหนีออกจากพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อชุมชนประมงชายฝั่งที่ไม่มีสัตว์น้ำให้จับในช่วงดังกล่าว
ผลกระทบยังลุกลามไปถึงระบบนิเวศที่เปราะบาง เช่น ปะการังซึ่งอาจเกิดการฟอกขาวจากการเปลี่ยนแปลงของความเค็ม โดยในเหตุการณ์ปี 2554 ปะการังบางส่วนที่เกาะสีชังได้รับความเสียหาย อีกกรณีที่หินต่อยหอย จ.ระยอง น้ำจืดจากชายฝั่งไหลลงทะเลจนทำให้ปลาและสัตว์น้ำตื่นตกใจว่ายหนีกระเจิง ขณะที่พื้นที่น้ำกร่อยตามธรรมชาติหลายแห่งอาจเกิดความแปรปรวนผิดปกติ และน้ำจืดที่มีปริมาณมากยังคงค้างอยู่ในระบบนานกว่าปกติ ทำให้สภาพน้ำต้องใช้เวลาหลายวันหรือมากกว่านั้นกว่าจะกลับคืนสู่สมดุล
นอกจากน้ำจืด ปริมาณ “ตะกอน” ที่ถูกพัดพามาจำนวนมากยังสร้างแรงกดดันต่อระบบนิเวศชายฝั่งอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น แหล่งหญ้าทะเลที่เกาะท่าไร่ จ.นครศรีธรรมราช เคยถูกตะกอนทับจนเสียหาย หรือกรณีที่ภูเก็ตซึ่งเคยประสบตะกอนแดงจำนวนมากไหลลงอ่าวจนหญ้าทะเลและปะการังเสียหายอย่างหนัก เพราะตะกอนทำให้น้ำขุ่น แสงส่องถึงน้อย และเมื่อทับลงบนผิวปะการังโดยตรงย่อมทำให้ปะการังตายได้
นอกจากนี้ น้ำท่วมยังพาขยะจำนวนมากลงสู่ทะเลในเวลาอันรวดเร็ว เพิ่มปริมาณขยะทะเลและสร้างความเสี่ยงต่อสัตว์ทะเลหายาก ขณะที่ธาตุอาหารในน้ำและมลพิษจากภาคเกษตร ชุมชน และอุตสาหกรรมที่ถูกพัดลงทะเลโดยไม่ผ่านการบำบัด ก็อาจกระตุ้นให้เกิดแพลงก์ตอนบลูมและความผิดปกติอื่นๆ ตามมา
“ดร.ธรณ์” ระบุว่า ภายใต้ภาวะโลกร้อน เหตุการณ์น้ำท่วมขนาดใหญ่ที่ทำให้น้ำจืดไหลลงทะเลปริมาณมากจะยิ่งเกิดบ่อยขึ้น แต่ในระดับวิชาการยังถือเป็นเรื่องใหม่ที่หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ยังไม่มีข้อมูลรองรับเพียงพอ งานศึกษาที่มีส่วนใหญ่เป็นเพียงการสังเกตการณ์ เนื่องจากต้องใช้งบประมาณและบุคลากรจำนวนมากในการเก็บข้อมูลภาคสนาม
ซึ่งทำให้การประเมินความเสียหายจริงอาจต้องรอติดตามอย่างน้อย 1–4 สัปดาห์หลังเหตุการณ์ ดร.ธรณ์เตือนว่า ภัยพิบัติจากโลกร้อนมีลักษณะ “โดมิโน” เมื่อเหตุการณ์บนบกจบ สิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลเพิ่งจะเริ่มต้น ซึ่งเป็นความน่ากังวลที่ควรเร่งให้ประเทศเตรียมแผนรองรับเชิงระบบโดยเร็วที่สุด







