วาระใหม่ 'เศรษฐกิจหมุนเวียน' สนธิสัญญาพลาสติกโลกไร้ผล

วาระใหม่ 'เศรษฐกิจหมุนเวียน' สนธิสัญญาพลาสติกโลกไร้ผล

ท่ามกลางความล้มเหลวในการเจรจาพลาสติกโลกและความคืบหน้าที่ต้องอาศัย 'ใจสมัคร' ในเวที COP30 การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนยุคใหม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายบนกระดาษ แต่เป็นการสร้าง 'ระบบดิจิทัล'

KEY

POINTS

  • การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกล้มเหลว ทำให้แนวทางแก้ปัญหาที่พึ่งพากฎหมายจากบนลงล่างอาจไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไป
  • วาระใหม่ของเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงเปลี่ยนจากการพึ่งพากฎหมาย มาเป็นการสร้าง "ระบบดิจิทัล" ที่เชื่อมโยงข้อมูลให้สามารถทำงานร่วมกันได้ทั่วโลก
  • เป้าหมายของระบบดิจิทัลคือการทำให้ขยะและวัสดุรีไซเคิลสามารถพิสูจน์คุณค่าและแหล่งที่มาได้ เพื่อให้การจัดหามีความน่าเชื่อถือเทียบเท่าวัสดุใหม่

ท่ามกลางความล้มเหลวในการเจรจาพลาสติกโลกและความคืบหน้าที่ต้องอาศัย 'ใจสมัคร' ในเวที COP30 การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนยุคใหม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายบนกระดาษ แต่เป็นการสร้าง 'ระบบดิจิทัล' ที่เชื่อมโยงข้อมูลให้พูดภาษาเดียวกัน เพื่อให้ขยะจากประเทศโลกใต้สามารถพิสูจน์คุณค่าสู่ตลาดโลกได้จริง

เบื้องหลัง 'เจนีวา' และ 'เบเลง' สองเวทีกับความท้าทายที่แตกต่าง

หลังจากการประชุม COP30 (การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้เน้นย้ำเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) และการเปลี่ยนผ่านที่ให้ผลบวกต่อธรรมชาติอย่างชัดเจน แต่ความคืบหน้าสำคัญยังคงอยู่บนพื้นฐานของ "ความสมัครใจ" ไม่ใช่การผูกมัดด้วยเงินทุนที่ชัดเจน

ขณะเดียวกัน การประชุมเจรจา สนธิสัญญาพลาสติกโลก (INC-5.2) ณ กรุงเจนีวา เมื่อเดือน ส.ค. 2568 ได้จบลงด้วยภาวะชะงักงัน นักการทูตไม่สามารถบรรลุฉันทามติในประเด็นสำคัญ เช่น การจำกัดการผลิต การเปิดเผยข้อมูลสารเคมี และกลไกทางการเงิน ซึ่งตอกย้ำว่าความเห็นพ้องในการควบคุมระบบอุตสาหกรรมยังคงเป็นเรื่องยาก

ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่าง "การไร้ข้อสรุป" ของเจนีวา และ "การอาศัยความสมัครใจ" ของเบเลง เผยให้เห็นความจริงอันเจ็บปวด "สนธิสัญญาปารีสสำหรับพลาสติก" ในรูปแบบการบังคับใช้จากบนลงล่าง อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความไร้ประสิทธิภาพเชิงโครงสร้างในปัจจุบันได้อีกต่อไป

จากกฎหมายสู่การเชื่อมโยง อนาคตอยู่ที่ 'ความสามารถในการทำงานร่วมกัน'

ในยุคหลังสนธิสัญญา (Post-Treaty Era) นี้ สิ่งที่จะกำหนดทิศทางคือ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและการปฏิบัติการ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยงนโยบายต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม คำถามสำคัญจึงเปลี่ยนจาก "กฎคืออะไร?" เป็น "ระบบของเราจะสื่อสารภาษาเดียวกันได้อย่างไร?"

แม้ไม่มีสนธิสัญญาโลก แต่กฎหมายไม่ได้หยุดนิ่ง ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปกำลังเดินหน้าในระเบียบ Ecodesign for Sustainable Products Regulation (ESPR) และ Digital Product Passports (DPP) ขณะที่หลายประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ละตินอเมริกา และแอฟริกา กำลังนำกรอบการทำงาน Extended Producer Responsibility (EPR) และยุทธศาสตร์ขยะแห่งชาติมาใช้

ความเสี่ยงที่แท้จริงคือการเกิด 'อินเทอร์เน็ตแห่งความหมุนเวียนแบบแยกส่วน' ที่ประกอบด้วยระบบข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน มาตรฐานที่ขัดแย้งกัน และต้นทุนการปฏิบัติตามที่สูงขึ้น หากไม่มีรหัสระบุตัวตนร่วมกัน ขยะพลาสติก (PET) รีไซเคิลจากอินโดนีเซีย ก็ยากที่จะพิสูจน์แหล่งที่มาให้ผู้ซื้อในเยอรมนีเชื่อถือได้

นี่คือเหตุผลที่ "ความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Interoperability)" กลายเป็นสมรภูมิใหม่ การประสานนโยบายเป็นเรื่องยากทางการเมือง แต่การประสานข้อมูลเป็นสิ่งที่ ทำได้ทางเทคนิค

ช่องว่างสองขั้ว เหนือ-ใต้กับการก้าวสู่ความหมุนเวียน

ความขัดแย้งในเจนีวาได้เปิดเผยความแตกแยกเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งระหว่างโลกเหนือและโลกใต้

  • สำหรับโลกเหนือ: เศรษฐกิจหมุนเวียนคือ ความท้าทายในการบูรณาการข้อมูล พวกเขาเผชิญกับข้อมูลซัพพลายเชนที่กระจัดกระจายและกฎการรายงานที่ไม่สอดคล้องกัน
  • สำหรับโลกใต้: เศรษฐกิจหมุนเวียนคือ ความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเข้าถึง การเก็บกู้ของเสียมักขับเคลื่อนโดยภาคส่วนที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งมีแรงงานประมาณ 15-20 ล้านคน ที่เป็นหัวใจสำคัญในการจัดเก็บพลาสติกถึง 60% ในเมืองใหญ่ แต่ผลงานเหล่านี้กลับ "มองไม่เห็น" ในตลาดโลกและไม่ได้รับเงินทุนสนับสนุนเพียงพอ

ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เป็นหนึ่งเดียวต้องเชื่อมช่องว่างนี้ ด้วยกรอบข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งสามารถตรวจสอบการไหลของวัสดุจากคนเก็บขยะในกรุงไนโรบีได้อย่างน่าเชื่อถือพอๆ กับจากโรงงานรีไซเคิลในเมืองรอตเทอร์ดาม

กุญแจสู่ความสำเร็จ: มาตรฐานข้อมูลสากล

เทคโนโลยีที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้มีอยู่แล้ว เช่น ISO 59040 (Product Circularity Data Sheet - PCDS) ซึ่งให้รูปแบบที่เครื่องอ่านได้สำหรับการยืนยันข้อมูลโดยไม่ต้องเปิดเผยสูตรลับ และ GS1 Digital Link สำหรับการระบุตัวตนผลิตภัณฑ์ทั่วโลก

เมื่อข้อมูลสามารถทำงานร่วมกันได้ การปฏิบัติตามกฎหมายจะเปลี่ยนจาก "ต้นทุน" เป็น "ข้อมูลเชิงปฏิบัติการ" ที่มีค่า โรงงานรีไซเคิลรู้ส่วนประกอบเคมีก่อนแปรรูป, ผู้ให้ทุนสามารถตรวจสอบผลลัพธ์การเก็บกู้, และทางการสามารถติดตามความรับผิดชอบตลอดห่วงโซ่คุณค่า

อนาคตของเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงเดียวในเจนีวา แต่จะเกิดขึ้นเมื่อการจัดหาวัสดุรีไซเคิล ถูกกว่า ง่ายกว่า และเชื่อถือได้พอๆ กับ การจัดหาวัสดุบริสุทธิ์ การแก้ไขปัญหาของเสียต้องอาศัยการพัฒนาจาก "การปฏิบัติตามกฎหมายแบบตั้งรับ" ไปสู่ "ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ" อย่างแท้จริง

ที่มา : Jord.tech