ปั้น Gen Z ให้เป็นพลังขับเคลื่อนความยั่งยืน บทบาทใหม่ HR ผ่านการเรียนรู้แบบลงมือทำ

เวลาเราพูดถึง “ความยั่งยืน” ในองค์กร หลายคนอาจนึกถึงนโยบาย ESG รายงานความยั่งยืน หรือกิจกรรม CSR ที่ทำปีละครั้ง แต่ถ้ามองจากมุมของเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่แค่ “คำประกาศเจตนารมณ์” ขององค์กร
หากคือ “ประสบการณ์จริง” ที่ทำให้รู้สึกว่า งานที่ตัวเองทำ มีส่วนช่วยให้โลกดีขึ้นอย่างจับต้องได้
งานวิจัยล่าสุดซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นคนรุ่น Gen Z จำนวน 8 คน เข้าร่วมโครงการเรียนรู้ด้านความยั่งยืนในรูปแบบ blended experiential learning ที่ผสมผสานการเรียนออนไลน์ การทำงานกลุ่มข้ามวัฒนธรรม และการลงพื้นที่จริงในต่างประเทศ โดยเฉพาะการไปเรียนรู้ที่ประเทศเดนมาร์ก ผ่านกิจกรรมเกี่ยวกับ food waste และ circular economy
ประเทศเดนมาร์กนั้นได้รับการยอมรับว่าด้วยการเป็นต้นแบบด้านความยั่งยืนระดับสากล เดนมาร์กติดอันดับ Top 5 ใน SDG Index ซึ่งวัดความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ และยังอยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Climate Change Performance Index (CCPI) สะท้อนว่าไม่ได้มีแค่แผนบนกระดาษ แต่มีการขับเคลื่อนเชิงระบบที่จริงจังต่อเนื่อง
ก่อนเข้าร่วมโครงการ นักศึกษาส่วนใหญ่พูดถึงคำว่า “sustainability” และ “SDGs” ในแบบที่เราคุ้นเคยในห้องเรียน คือ ผูกกับ CSR รายงานบริษัท หรือกรอบ SDGs แบบเป็น “กล่องคอนเซ็ปต์” มากกว่าของที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน หลายคนบอกตรง ๆ ว่า “รู้ว่าควรสำคัญ แต่นึกไม่ออกว่าตัวเองจะทำอะไรได้มากไปกว่าการทิ้งขยะให้ถูกถัง”
แต่เมื่อได้ไปเห็นของจริงในเดนมาร์ก ภาพในหัวของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไป การเรียนรู้ระบบแยกขยะอาหาร การได้เห็นว่าร้านอาหาร มหาวิทยาลัย และชุมชนจัดการกับ food waste อย่างไร การลงมือช่วยเตรียมวัตถุดิบหรือทำกิจกรรมในชุมชน ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง แต่ทำให้เห็นว่า “การเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ” ของคนจำนวนมาก สามารถกลายเป็นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ลดทั้งต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้จริง
จากเดิมที่มอง SDGs เป็นเพียงแต่กรอบความคิดทฤษฎี โดยนักศึกษาได้เล่าถึงประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งนี้ว่า “ตอนนี้เราเห็นเป็นระบบมากขึ้น เห็นว่าของเหลือจากร้านอาหารไปไหนต่อ ใครรับช่วงไปใช้ต่อได้บ้าง” นี่คือ การขยับจาก “ความรู้เชิงกรอบ” ไปสู่ “การมองแบบ systems thinking” ที่โยงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และชุมชนเข้าด้วยกัน
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือมุมมองเรื่อง “ความเป็นผู้นำ” ก่อนเข้าร่วมโครงการ หลายคนพูดถึงผู้นำในภาพแบบเดิม คือคนเก่ง คนมีความสามารถเกือบทุกด้าน แต่ประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการทำโครงการต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายร่วมกับเพื่อนต่างวัฒนธรรม
เด็ก Gen Z เหล่านี้ต้องลองรับบทผู้นำแบบไม่ได้มีตำแหน่งให้พร้อมก่อน บางคนต้องลุกขึ้นมานำเสนอไอเดียเรื่องการลดขยะอาหารต่อหน้าคู่พาร์ตเนอร์ต่างประเทศ ทั้งที่ก่อนหน้าเคยบอกว่า “ไม่มั่นใจภาษาอังกฤษ” หรือ “ไม่กล้านำเสนอ”
อีกหลายคนเล่าว่า ได้ลองสลับบทบาทกันในทีม บางวันเป็นคนประสานงาน บางวันเป็นคนคอยรับฟังและสรุปความคิดเห็นให้ทีม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ภาพของผู้นำเริ่มเปลี่ยนจาก “คนที่อยู่ข้างหน้า” เป็น “คนที่ช่วยให้ทีมไปถึงเป้าหมายร่วมกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เห็นว่า สำหรับ Gen Z ความยั่งยืนกับภาวะผู้นำคือเรื่องเดียวกัน ผู้นำที่ดีในมุมมองของพวกเขาคือคนที่ฟังเสียงที่หลากหลาย ใช้ข้อมูลตัดสินใจ และมองหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อคนในองค์กร ชุมชน ให้มากที่สุด ซึ่งเป็นกรอบคิดที่องค์กรสามารถนำไปต่อยอดในงานจริง
ทั้งนี้ HR และผู้บริหารสามารถ “หยิบหัวใจของประสบการณ์” มาปรับให้เข้ากับบริบทขององค์กรของเรา สิ่งที่โครงการนี้ทำได้ดีมีอยู่สามมิติที่ HR สามารถนำไปต่อยอดแนวคิดด้านกลยุทธ์สำหรับองค์กรได้ กล่าวคือ
มิติแรก คือ การเปลี่ยนจาก “การสื่อสารเชิงนโยบาย” มาเป็น “พนักงานได้มีประสบการณ์จริง” แทนที่จะบอกพนักงานว่าองค์กรให้ความสำคัญกับ ESG เพียงอย่างเดียว ลองออกแบบกิจกรรมเล็ก ๆ แต่ต่อเนื่อง เช่น โปรเจกต์ลดขยะในแผนก การทดลองตั้งเป้าลดการใช้พลังงานในสำนักงาน หรือการร่วมมือกับชุมชนรอบองค์กรในโครงการจัดการของเสีย ให้พนักงานได้ลองคิด ลองทำ ลองวัดผลด้วยตัวเอง
มิติที่สอง คือ การออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน (blended) ให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้ทักษะดิจิทัลควบคู่กับการลงมือทำจริง เนื้อหาเชิงความรู้สามารถอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ แต่ “การต่อยอดความเข้าใจ” ต้องเกิดจากการนำไปทดลองในงานจริงหรือในโครงการกับชุมชน เมื่อมีประสบการณ์จริงแล้วค่อยย้อนกลับมาสะท้อน แลกเปลี่ยนกันในทีม นี่คือวงจรการเรียนรู้ที่ทำให้ความรู้ไม่หยุดอยู่แค่ทฤษฎี
มิติที่สาม คือ การเปิดพื้นที่ให้ Gen Z “ลองนำจริง” ในเรื่องที่เขาเชื่อและมีความมุ่งมั่น เด็กรุ่นนี้ไม่ได้กลัวความรับผิดชอบ แต่กลัวงานที่ไม่มีความท้าทาย HR จึงสามารถใช้โปรเจกต์ด้านความยั่งยืนเป็นสนามฝึกภาวะผู้นำสำหรับหน่วยงาน องค์กร และชุมชน
เช่น ให้พนักงานรุ่นใหม่ออกแบบกิจกรรม Green Office ของตัวเอง หรือเป็นแกนกลางขับเคลื่อนโครงการอาสาสมัครด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท โดยให้ผู้จัดการและ HR ทำหน้าที่เป็นโค้ชและผู้หนุนหลังสนับสนุน
ท้ายที่สุด เด็ก Gen Z วันนี้คือ รากฐานกำลังคนที่จะขับเคลื่อนองค์กรในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ถ้า HR มองเห็นพวกเขาไม่ใช่แค่ “พนักงานรุ่นใหม่ที่ต้องบริหาร” แต่คือ “พาร์ตเนอร์รุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน” แล้วออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ให้เหมาะกับศักยภาพและคุณค่าที่เขาเชื่อ เราจะไม่ได้เพียงได้พนักงานที่เก่งขึ้น แต่จะได้ “ผู้นำรุ่นใหม่” ที่พร้อมพาองค์กรไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ที่มา : Intercultural Competence and Leadership Identity in Blended Global Learning: Insights from Thai Undergraduate Students https://doi.org/10.32674/sa3esk64







