พลังงานสะอาดไทย ชิ้นส่วนไหนที่ยังขาดหาย | วาระทีดีอาร์ไอ

พลังงานสะอาดไทย ชิ้นส่วนไหนที่ยังขาดหาย | วาระทีดีอาร์ไอ

ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลกสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พลังงานสะอาดได้กลายเป็น “แรงขับเคลื่อนใหม่” ของการแข่งขันระดับโลก ในปี 2024 เพียงปีเดียวพบว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 1,050 เทราวัตต์ชั่วโมง

โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิกที่กว่า 76% ของไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมาจากพลังงานสะอาด ภาพนี้สะท้อนว่าโลกไม่ได้มองพลังงานสะอาดเป็นแค่เรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่เป็น “ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ” ของประเทศ

สำหรับประเทศไทย แม้ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) จะประกาศเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดเป็น 51% ภายในปี 2037 และ74% ภายในปี 2050 แต่ในปี 2023 ไทยยังผลิตไฟฟ้าสะอาดเพียง 15% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค

ตามหลังเวียดนามที่มีสัดส่วนสูงถึง 38% ช่องว่างนี้ไม่ใช่แค่ “ตัวเลขพลังงาน” แต่คือ ความเสี่ยงของประเทศในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง

แดด ลม และแผน: ไทยมีศักยภาพ แต่แผนยังไม่เชื่อมกัน

แม้แสงแดดและลมของไทยจะมีมาก แต่ยังขาด “การวางแผนแบบเชื่อมโยง” ที่ทำให้ศักยภาพเหล่านี้เกิดผลได้จริงในทางปฏิบัติ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงกว่า 80% และคาดว่าจะลดลงอีก 27% ภายในปี 2030

ขณะที่พลังงานลมก็มีความคุ้มค่ามากขึ้นจากเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไทยจึงถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายพลังงานสะอาด หากการวางแผนและนโยบายสนับสนุนสอดคล้องกัน

ทว่า “แผน” กลับเป็นจุดอ่อนสำคัญ โดยเฉพาะ 5 แผนหลัก ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) แผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP) แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) แผนบริหารจัดการน้ำมัน และแผนบริหารจัดการก๊าซ ซึ่งต่างดำเนินการแยกกันตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ทำให้ทิศทางการพัฒนาไม่เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง เป้าหมายของไทยจึงชัดเพียงบนแผ่นกระดาษ แต่เดินหน้าจริงได้ช้า

ESS และ EV ตัวเชื่อมที่ทำให้ไฟฟ้าสะอาดใช้ได้จริง

ปัจจุบันโลกกำลังเคลื่อนไปสู่ระบบพลังงานที่บูรณาการมากกว่าที่เคย พลังงานหมุนเวียนอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เมื่อไฟฟ้าจากแดดและลมเพิ่มขึ้น ความเสถียรของระบบไฟฟ้ากลายเป็นโจทย์ใหม่ที่หลายประเทศต้องเร่งแก้ จึงต้องอาศัยเทคโนโลยีเสริมที่ช่วยให้ไฟฟ้าสะอาด “ใช้ได้จริง-มั่นคง”

หนึ่งในนั้นคือ ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ที่สามารถเก็บไฟฟ้าส่วนเกินจากแสงอาทิตย์ในตอนกลางวัน แล้วปล่อยกลับเข้าสู่ระบบในช่วงที่ความต้องการสูงหรือไม่สามารถผลิตพลังงานสะอาดได้

หลายประเทศ เช่น จีนและสหรัฐมอง ESS เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลัก จีนกำหนดให้โครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลมต้องติดตั้ง ESS อย่างน้อย 10-30% ของขนาดโครงการ ขณะที่สหรัฐฯ สนับสนุนโครงข่าย Smart Grid เพื่อเชื่อมการผลิตและการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ แต่ไทยกลับวางแผนใช้ ESS จริงจังหลังปี 2032 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับทิศทางของตลาดโลก

ด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็มีบทบาทสำคัญในการ “เสริมความยืดหยุ่นของระบบ” ไม่เพียงลดการปล่อยคาร์บอนในภาคขนส่งแต่ยังช่วย “จัดการโหลด” ของระบบไฟฟ้าได้ โดยเฉพาะเทคโนโลยี “Vehicle-to-Grid” หรือ V2G ที่เปิดทางให้รถยนต์ไฟฟ้าจ่ายไฟกลับเข้าระบบในช่วงที่ไฟฟ้าขาดแคลน หากมีระบบ Smart Charging และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม EV จะกลายเป็น “พลังเสริมให้ระบบ” อย่างแท้จริง

ปลายทางการเปลี่ยนผ่าน CCUS และ Hydrogen ปิดช่องว่างคาร์บอน

ในระยะยาว แม้ไฟฟ้าสะอาดและเทคโนโลยีเสริมจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับภาคอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ และปิโตรเคมี ซึ่งหลีกเลี่ยงการปล่อยคาร์บอนได้ยาก หลายประเทศจึงเริ่มลงทุนในเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ แลการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) รวมถึงไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) เพื่อปิดช่องว่างสุดท้ายดังกล่าว

สหรัฐใช้กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ให้เครดิตภาษีสูงถึง 85 ดอลลาร์ต่อการดักจับคาร์บอนหนึ่งตัน ทำให้โครงการ CCUS เกิดขึ้นจริงหลายแห่ง ขณะที่ญี่ปุ่นกำหนดยุทธศาสตร์ไฮโดรเจนระดับชาติ ผลักดันให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นแหล่งพลังงานใหม่สำหรับอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง

ในทางกลับกัน ไทยยังไม่มีกรอบนโยบายเฉพาะสำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ ทั้งที่ข้อมูลจาก Global CCS Institute ชี้ว่าอ่าวไทยมีศักยภาพกักเก็บคาร์บอนได้ถึง 8,400 ล้านตัน ซึ่งไทยยังมีโอกาสผลักดันตนเองให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางไฮโดรเจนของภูมิภาคในอนาคต

ต่อจิ๊กซอวให้ครบ เพื่อให้ “แผน” เดินได้จริง

แม้ไทยมีชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์พลังงานสะอาดหลายชิ้นไม่ว่าจะเป็นแดด ลม เทคโนโลยี และโอกาสทางการตลาด แต่ชิ้นส่วนสำคัญที่ยังขาดหายไปคือ “กลไกเชื่อมโยง” ที่จะต่อให้ชิ้นส่วนทั้งหมดทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากแต่ละหน่วยงานยังทำงานแยกส่วนและภาคเอกชนรวมทั้งประชาชนยังไม่มีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย

การปรับแผน PDP 2024 ที่กำลังดำเนินอยู่ จึงอาจเป็นโอกาสสำคัญที่สุดของไทยในรอบหลายปี ไม่ใช่เพียงเพื่อปรับตัวเลขเป้าหมาย แต่เพื่อ “รีเซ็ต” ระบบวางแผนพลังงานของประเทศให้ตอบโจทย์โลกที่เปลี่ยนไป และเปิดพื้นที่ให้เทคโนโลยีใหม่และผู้เล่นใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ดังนั้น เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้จริง ไทยควรเร่งดำเนินการในประเด็นต่อไปนี้ 1.บูรณาการแผนพลังงานของประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ตั้งกลไกกลางที่มีอำนาจจริงในการเชื่อมโยงแผนต่าง ๆ ให้มีเป้าหมายร่วมและตัวชี้วัดระยะยาวเดียวกัน ลดการทำงานซ้ำซ้อน และจัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจน

2.เร่งพัฒนาโครงสร้างระบบไฟฟ้าที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ ยกระดับ ESS และ EV จาก “เทคโนโลยีเสริม” ไปเป็น “โครงสร้างหลัก” ของระบบไฟฟ้าแห่งอนาคต พร้อมกำหนดระยะเวลาให้เร็วขึ้น 

3.สร้างตลาดและแรงจูงใจทางการเงิน ส่งเสริมการลงทุนใน CCUS และไฮโดรเจนด้วยมาตรการจูงใจเพื่อให้เทคโนโลยีเหล่านี้มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับไทยจากผู้ใช้เทคโนโลยีไปสู่ผู้พัฒนาเทคโนโลยี

และ 4.เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมจริงจัง ปรับกระบวนการนโยบายพลังงานให้โปร่งใสและเพิ่มการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไม่ใช่ภาระของรัฐฝ่ายเดียว

พลังงานสะอาดของไทยจะไม่เกิดขึ้นด้วยแดด หรือลมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยแผนงานที่เชื่อมโยง เทคโนโลยีที่ยืดหยุ่นและความร่วมมือของทุกภาคส่วน หากเราสามารถต่อจิ๊กซอว์เหล่านี้เข้าด้วยกันได้อย่างครบถ้วน จะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของพลังงานไทยที่พลังงานสะอาดจะกลายเป็นโครงสร้างจริงของเศรษฐกิจที่มั่นคง แข่งขันได้ และยั่งยืนในศตวรรษนี้

บทความชิ้นนี้จัดทำภายใต้โครงการหลักสูตรผู้นํานโยบายด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ.2567