เตรียมเพิ่มรพ.รัฐทุกเขตสุขภาพ บริการทำ "กิฟต์"-"IVF" รักษาภาวะมีบุตรยาก

เตรียมเพิ่มรพ.รัฐทุกเขตสุขภาพ บริการทำ "กิฟต์"-"IVF" รักษาภาวะมีบุตรยาก

สธ.เตรียมเพิ่มบริการทำกิฟต์-IVF รพ.ทุกเขตสุขภาพ รักษาภาวะมีบุตรยากคนอยากมีลูกเข้าถึงบริการมากขึ้น เร่งหารือ 3 กองทุนให้รักษาฟรี มุ่งเพิ่มเด็กเกิดใหม่ หวั่น 10-20ปีประชากรไทยเหลือครึ่งหนึ่ง วัยทำงานลดฮวบ

    จากกรณีเด็กไทยเกิดใหม่น้อยลง จากเดิมปีละราว 8 แสนคน ลดลงอยู่ระหว่าง 5.6-5.8 แสนรายต่อปี อัตราการเจริญพันธุ์รวมหรือจำนวนบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ยต่อสตรีในวัยเจริญพันธุ์ เพียง 1.24 ทั้งที่อัตราเจริญพันธุ์รวมควรอยู่ที่ 1.6
          เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2565 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมี 12 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของประชากรไทยเป็นผู้สูงอายุ อีกไม่กี่ปีจะเป็น 1 ใน 4 อัตราการเสียชีวิตก็จะสูงขึ้น ซึ่งเด็กเกิดน้อย และการเสียชีวิตที่มากขึ้นกำลังตัดกัน  อีก 10 – 20 ปีหากไม่ทำอะไร วัยทำงานที่จะอุ้มชูสังคม อุ้มชูวัยเด็ก และอุ้มชูผู้สูงอายุจะน้อยลงมาก ประชากรของประเทศอาจจะลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้น รัฐต้องถือเป็นวาระสำคัญของชาติเพราะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นการปรับโครงสร้างประชากรของประเทศ ที่ต้องดำเนินโครงการต่อเนื่องเป็น 10 -20 ปี ไปพร้อมกันคือมาตรการทางสังคม มาตรการทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง ซึ่งระยะแรกนี้ต้องชะลออัตราการเกิดที่น้อยให้ได้ก่อน


     

         จากการสำรวจพบว่าคนอยากมีลูก แต่อยากให้มีการสนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมด้วย มีสถานรับเลี้ยงเด็กอายุน้อยกว่า 3 ขวบ รวมถึงเข้าถึงบริการให้คำปรึกษา รักษาภาวะมีบุตรยาก มีการประชุมคณะกรรมการอนามัยเจริญพันธุ์เมื่อวันที่ 24 ม.ค.2565 มีมติมากมายในการแก้ไขปัญหา และล่าสุดมีการการเสนอในที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เรื่องความพร้อมการจัดบริการการรักษาภาวะมีบุตรยาก และส่งเสริมให้ถูกกลุ่ม ถูกคน โดยจัดระบบ ดังนี้ ระดับรพ.สต.ให้คำปรึกษาได้ ระดับรพ.ชุมชน ต้องสามารถตรวจสุขภาพ คัดกรองเบื้องต้นได้ และระดับรพ.จังหวัด ที่มีสูตินรีแพทย์ทำหัตถการณ์ฉีดน้ำเชื้อต่างๆ ส่วนการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การทำกิฟต์ IVF เป็นต้นให้ดำเนินการในระดับเขตสุขภาพ โดยใช้การส่งต่อ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้การเข้าถึงการรักษาภาวะมีบุตรยากเป็นความเหลื่อมล้ำ คนรวยเท่านั้นถึงจะเข้าถึง 

        สำหรับค่าใช้จ่ายตามมติของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดสปสช.) วันที่ 1 พ.ย. 2564 ระบุว่าบริการให้คำปรึกษาการรักษาเบื้องต้น การตรวจโรคที่เป็นสาเหตุของการมีบุตรยาก และรักษา รวมถึงการฉีดน้ำเชื้ออยู่ในชุดสิทธิประโยชน์อยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่เคยจัดกระบวนการอย่างเป็นระบบ ส่วนเรื่องการใช้เทคโนโลยีช่วยได้มีการหารือร่วมระหว่างราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสปสช. พิจารณาและเห็นพ้องต้องกันในการให้สิทธิ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาต้นทุนหลายมิติ และประเมินความคุ้มค่า เพื่อบรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ต่อไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงต้นอาจจะจัดเป็นระบบส่งต่อ 

   “จากข้อมูลพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะมีลูก แต่มีความยากลำบากที่จะมีได้ โดยกว่า 80 % สามารถแก้ไขได้ในระดับของการให้คำปรึกษา วางแผน การนับช่วงเวลาตกไข่ การให้ยากระตุ้นการตกไข่ และการฉีดน้ำเชื้อ ส่วนอีก 20% ยังต้องมีการประเมินเป็นรายๆ เพื่อเข้ารับการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย”นพ.สุวรรณชัยกล่าว 
        นพ.สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีสถานพยาบาลที่สามารถใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเพียง 104 แห่งทั่วประเทศเท่านั้น ในจำนวนนี้อยู่ในกทม. 71 แห่ง ภูมิภาค 33 แห่ง ในจำนวน 104 แห่งพบว่าเป็นสถานพยาบาลของรัฐเพียง 15 แห่ง หรือ 14.5% เท่านั้น ที่เหลือเป็นสถานพยาบาลเอกชนทั้งระดับรพ. และระดับคลินิก ทำให้คนที่พร้อมมีลูกแต่เข้าไม่ถึงบริการ จึงเสนอที่ประชุมที่กระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบ ในการจัดเตรียมความพร้อมบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก เตรียมกรอบอัตรากำลังคนเพิ่มเติมในสถานพยาบาลของรัฐ 

      “ภาวะมีบุตรยากเป็นโรค สิทธิด้านการอนามัยเจริญพันธุ์เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ ICPD(International Conference on Population and Development) การรักษา จึงเป็นการคืนสิทธิการเข้าถึงบริการการตั้งครรภ์คุณภาพ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก และองค์การอนามัยโลกบัญญัติว่าเป็นโรค และความพิการชนิดหนึ่งที่มีผลต่อคุณภาพชีวิต  ถึงจะสามารถลงรหัสโรคได้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีผลทำให้ไม่สามารถเบิกค่ารักษาส่วนนี้ได้ ตอนนี้จึงต้องลงว่าเป็นโรคก่อน แล้วไปตกลงกับ 3 กองทุน เรื่องการเบิกจ่าย”นพ.สุวรรณชัยกล่าว