สธ.คาด "โอมิครอน"ระบาดอย่างน้อย 2 เดือน

สธ.คาด "โอมิครอน"ระบาดอย่างน้อย 2 เดือน

สธ.งัด 4 มาตรการรับมือโอมิครอน มุ่งชะลอการระบาดให้ระบบสาธารณสุขดูแลได้ คาดระบาดอย่างน้อย 2 เดือน  จ่อลดวันกักตัวกลุ่มเสี่ยงสูง ปีนี้โควิดเข้าสู่โรคประจำถิ่น หากอัตราตายลดเหลือ 0.1 %  จังหวัดยอดพุ่งอีก 2 สัปดาห์ค่อยๆลด

  เมื่อวันที่ 10 ม.ค.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข ในการแถลงสถานการณ์โควิด-19 ระลอกโอมิครอน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า  แผนรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ระลอกมกราคม 2565 หรือโอมิครอน มี 4 มาตรการ คือ  1.มาตรการสาธารณสุข จะมุ่งชะลอการระบาดเพื่อให้ระบบสาธารณสุขดูแลได้  ฉีดวัคซีนเพิ่มภูมิต้านทานให้ประชาชน คัดกรองตนเองด้วยATK ติดตามเฝ้าระวังกลายพันธุ์ 2.มาตรการการแพทย์  มุ่งเน้นใช้ระบบดูแลที่บ้านและชุมชน(Home Isolation/Community Isolation) ระบบสายด่วนประสานการดูแลผู้ติดเชื้อ ช่องทางด่วนส่งต่อเมื่อมีอาการมากขึ้น  และเตรียมพร้อมยาและเวชภัณฑ์ โดยในส่วนของยาฟาวิพิราเวียร์ยังมีประสิทธิภาพดีในการรักษาผู้ติดโควิด19 ถ้าเริ่มต้นให้เร็วรวมถึงโอมิครอนด้วย ขณะนี้มีสำรองประมาณ  158 ล้านเม็ด
          3.มาตรการสังคม ประชาชนใช้การป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด(UP:Universal Prevention) และสถานบริการปลอดความเสี่ยงโควิด(COVID Free Setting) และ4.มาตรการสนับสนุน ค่าบริการรักษาพยาบาล และค่าตรวจต่างๆ   ทั้งนี้ ในปี 2565 จะก้าวเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นของโรคโควิด-19 โดยเชื้อลดความรุนแรง ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิต้านทาน และชะลอการแพร่ระบาด

     ผู้สื่อข่าวถามว่า โควิด19จะเป็นโรคประจำถิ่นเมื่อไหร่ นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า การจะเป็นโรคประจำถิ่นเกิดจากลักษณะตัวโรคลดความรุนแรงลง ประชาชนมีภูมิต้านทาน ระบบรักษามีประสิทธิภาพ ลดอัตราป่วยหนัก เพื่อให้อัตราเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำมาก สาเหตุที่โควิดเป็นโรคระบาดรุนแรง เพราะอัตราเสียชีวิตสูงถึง 3% และค่อยๆ ลดลง หากลดมาถึง 0.1% ก็จะเข้าข่ายโรคประจำถิ่นได้ ส่วนอีกนานหรือไม่ ตนได้ปรึกษากับกรมควบคุมโรคว่า ขณะนี้เป็นระลอกโอมิครอนที่จะอยู่ประมาณ 2 เดือนจากนั้นจะค่อยๆ ลดลง เกิดพีคเล็กๆ ไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ หากการจัดการวัคซีนดี ประชาชนร่วมฉีดให้มีภูมิต้าน โรคไม่กลายพันธุ์เพิ่ม การติดเชื้อไม่รุนแรงมากขึ้น ก็คาดว่าภายในปีนี้ จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นไปได้
        นพ.เกียรติภูมิ กล่าวด้วยว่า  ขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรคพิจารณาลดวันกักตัวกรณีเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ซึ่งเดิมจะต้องกักตัวนาน 14 วันซึ่งนานกว่ากรณีคนติดเชื้อที่รักษาในรพ.ที่อยู่ที่ 10 วัน จึงให้พิจารณาดูว่าสามารถลดวันกักตัวกลุ่มเสี่ยงสูงเหลือ 7 วันได้หรือไม่  รวมถึงการปรับนิยามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงใหม่ หากใส่หน้ากากอนามัยถือเป็นสัมผัสเสี่ยงต่ำ แต่หากสัมผัสระหว่างที่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยจึงจะถือเป็นสัมผัสเสี่ยงสูง

   ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์  อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า จังหวัดที่พบติดเชื้อสูงคือ ชลบุรี สมุทรปราการ กทม. แนวโน้มเริ่มชะลอตัว หากลดกิจกรรมเสี่ยง ลดการเคลื่อนที่จะลดการแพร่ระบาด อย่างคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ขณะนี้ผู้ติดเชื้อลด ควบคุมได้ เกิดจากความร่วมมือของประชาขน งดกิจกรรมเสี่ยง ส่วนที่ชลบุรี ภูเก็ตขณะนี้มีการตรวจเชิงรุกมากขึ้น นำรถตรวจโควิดพระราชทานลงไปเพื่อควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ให้ดีขึ้น หากเคร่งครัดทุกมาตรการที่รัฐกำหนดรวมถึงการฉีดวัคซีน คาดภายใน 1-2 สัปดาห์ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อไม่มากจะสามารถคุมสถานการณ์ได้ ทั้งนี้ ขอให้เข้ารับวัคซีนซึ่งขณะนี้มีเพียงพอในสต็อคมีแอสตร้าเซนเนก้ามากกว่า 10 ล้านโดส และไฟเซอร์มากกว่า 10 ล้านโดส 
     นพ.โอภาส กล่าวถึงการติดเชื้อในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ว่า หากเทียบการระบาดระลอกเดือน เม.ย. 2564 ที่มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อสูงสุดกว่า 100 คน  ในขณะที่เดือน ม.ค. 2565 มีการระบาดของโอมิครอนเพิ่มขึ้น โดยพบว่าในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขติดวันละ 30-40 ราย ถือว่ามากพอควร ซึ่งเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน คือ มีการติดเชื้อจากที่บ้านมีกิจกรรมร่วมกัน กินอาหารร่วมกัน จากนั้นก็มาแพร่เชื้อต่อเพื่อนร่วมงาน  ซึ่งมีการกินอาหารร่วมกัน และไม่ใส่หน้ากากอนามัย ดังนั้น จึงขอย้ำมาตรการในหน่วยงานเคร่งครัดมากขึ้น คือ  ขอให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ห้ามรับประทานอาหารร่วมกัน ให้ต่างคนต่างกิน  และตรวจ ATK เป็นระยะอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งหรือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือตรวจเมื่อมีอาการ รวมทั้งหากมีอาการเป็นไข้หวัดก็ไม่ต้องมา  พร้อมทั้งที่สำคัญคือ การฉีดวัคซีนเข็ม  4 โดยบุคลากรที่ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ไปแล้ว 3 เดือนให้มาฉีดเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

        “ขณะนี้มีโรงพยาบาลบางแห่งปิดบางแผนก ซึ่งไม่ได้อยากให้ปิด จึงขอให้เคร่งครัดมาตรการ เพื่อจะได้ให้บริการแก่ประชาชน และขอให้ประชาชนมั่นใจว่า เรามีมาตรการต่างๆ รองรับ”นพ.โอภาสกล่าว