เปิดไทม์ไลน์ หญิงไทยรายแรกติด "โอมิครอน" ในประเทศ

เปิดไทม์ไลน์ หญิงไทยรายแรกติด "โอมิครอน" ในประเทศ

สธ.เผยเจอผู้ติดเชื้อ "โอมิครอน"ในประเทศรายแรก ติดจากสามีเดินทางมาจากต่างประเทศ พร้อมเปิดไทม์ไลน์ ติดตามผู้สัมผัสแล้ว

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวอัพเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในไทย ว่า ข้อมูลถึงเมื่อวานนี้(19ธ.ค.) พบการติดเชื้อโอมิครอนแพร่กระจายไป 89 ประเทศและอีก 36 รัฐในสหรัฐอเมริกาเข้าใจว่าอาจจะมีการขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะมีมากกว่านี้ เนื่องจากบางประเทศไม่มีขีดความสามารถในการถอดรหัสพันธุกรรม  

ข้อมูลประเทศไทย ล่าสุด ช่วงบ่ายวานนี้(19ธ.ค.) การถอดรหัสพันธุกรรมในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 11 - 19 ธ.ค. พบว่า เป็นเดลต้า 1,541 ราย เบต้า 1 ราย ขณะที่ สายพันธุ์โอมิครอน เป็น 63 ราย  สังเกตว่า ช่วงหลังโอมิครอนเพิ่มขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว สัดส่วนที่ตรวจพบในไทยเพิ่มขึ้น 3% กว่าจากสัปดาห์ที่แล้วที่ไม่ถึง 1% ซึ่งยังเป็นการเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศที่เราตรวจจับได้เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ

ขณะที่ สัดส่วนการตรวจพบสายพันธุ์ของผู้เดินทางเข้าประเทศ พบเป็นโอมิครอน สัดส่วน 1 ใน 4 หรือ 25% ของคนที่เดินทางเข้ามา และผ่านการตรวจด้วย วิธี RT-PCR ทั้งนี้ การส่งตัวอย่างมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการ(แล็บ) เราไม่ทราบภูมิลำเนาของตัวอย่างที่นำมาตรวจ ยกตัวอย่างเช่น ภูมิลำเนาอยู่ จ.นนทบุรี อ.ท่าอิฐ แต่เข้ามาอยู่ที่โรงพยาบาล และจุดที่ส่งตรวจหาเชื้อคือ รพ.ในกรุงเทพฯ เป็นต้น

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า โดยขอสรุป 1.พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนเพิ่มค่อนข้างเร็วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลก อย่างเช่น อังกฤษเพิ่มขึ้นวันละแสนราย และ 2.ขณะนี้ ทุกรายยังมีความเชื่อมโยงจากการเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ยังไม่มีผู้ติดเชื้อเริ่มต้นในประเทศไทยที่อยู่ดีๆ โผล่มาเหมือนที่เจอ สายพันธุ์อัลฟ่าที่ทองหล่อ ช่วงเดือน เม.ย.2564 ซึ่งไม่มีประวัติเกี่ยวกับต่างประเทศ แต่อยู่ๆ ก็โผล่มา เป็นคลัสเตอร์ที่เกิดในประเทศ หรือ กรณีพบสายพันธุ์เดลต้า 40-50 รายในแคมป์คนงานหลักสี่ ซึ่งก็ไม่ทราบว่ามาจากต่างประเทศหรือไม่ นั่นเป็นคลัสเตอร์ที่เกิดในไทย อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อทั้งหมด 63 รายที่ตรวจพบ ก็ยังเป็นส่วนที่เชื่อมโยงจากการเดินทางมาจากต่างประเทศ

“พบว่ามี 1 ราย ที่ตรวจด้วย RT-PCR  72 ชั่วโมงก่อนเดินมาและเมื่อถึงประเทศไทยตามระบบแซนด์บ็อกซ์(Sand box) ให้ผลลบ เราปล่อยเขาไป ต่อมาอีก 2-3 วัน เขาก็ป่วยแล้วก็เข้ามาตรวจซ้ำพบว่ามีผลบวก ดังนั้น ช่วงแรกที่ให้ผลลบ เป็นไปได้ในหลักการว่าอยู่ในระยะฟักตัว นั่นหมายความว่าอาจจะติดเชื้อตั้งแต่ประเทศต้นทางก่อนมาไทย”นพ.ศุภกิจกล่าว  

เปิดไทม์ไลน์ หญิงไทยรายแรกติด \"โอมิครอน\" ในประเทศ

นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า  1 รายที่ถือเป็นผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศรายแรก เป็นการติดเชื้อจากผู้เดินทางจากต่างประเทศ  คือ สามีเป็นนักบิน สัญชาติโคลัมเบีย ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็มจากประเทศไนจีเรีย  และภรรยา เป็นคนไทย  พักอาศัยกับสามีที่เป็นผู้ติดโอมิครอนตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.2564 ประวัติได้รับแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม 

ไทม์ไลน์ วันที่ 26-27 พ.ย.2564 เดินทางจากไนจีเรียถึงไทย ตรวจRT-PCR   ไม่พบเชื้อ และเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งกทม.ระบบแซด์บ็อกซ์

29 พ.ย.2564  ไปตรวจตาที่รพ.เอ สวมหน้ากากตลอด เช่ารถขับเอง ซื้อของร้านค้าใกล้โรงแรม  ขับรถทานข้าวเที่ยงที่ห้าง

30พ.ย.2564 อยู่โรงแรมตลอด

1 ธ.ค.2564 ไปฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็ม 3 ที่รพ.บี ขับรถเช่าเอง หลังจากฉีดมีไข้ ตัวร้อน

2 ธ.ค.2564 ตรวจATK เป็นลบ ที่โรงแรม เนื่องจากยังมีไข้ ไปพบแพทย์ที่รพ.เอ ผลตรวจไข้เลือดออก และมาลเรีย ไม่พบเชื้อ เอ็กซเรย์ปอด เป็นปกติ

3 ธ.ค.2564  ออกจากโรงแรมที่กักตัว รถโรงแรมมาส่ง ห้าง แวะร้านสะดวกซื้อ และส่งกลับบ้าน ที่อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี  ขณะมีไข้ภรรยาดูแลตลอด

4-6 ธ.ค.2564 อยู่บ้าน มีไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ภรรยาดูแลคนเดียว

6 ธ.ค.2564 ตรวต ATK ผลเป็นลบ

7 ธ.ค.2564 อาการไม่ดีขึ้น ไข้ เหนื่อย ภรรยาพาไป รพ.บี นั่ง แท็กซี่ไป ผลตรวจ พบเชื้อ แพทย์สงสัยโอมิครอน จึงส่งตรวจสายพันธุ์ ตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในรพ. ภรรยานั่งรถกลับบ้านกักตัวที่บ้าน 

10 ธ.ค.2564  ภรรยาไปรับการตรวจโควิดที่รพ.ซี ผลพบเชื้อ ผลตรวจสายพันธุ์สามีเป็นโอมิครอน

12-19 ภรรยารับการรักษาที่รพ.ซี ต่อมาผลตรวจสายพันธุ์เป็นโอมิครอน เป็นรายแรกของประเทศที่ติดเชื้อจากผู้เดินทางเข้าประเทศ

การติดตามผู้สัมผัส เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 1 ราย คือคนขับรถแท็กซี่  ผลตรวจครั้งแรกเป็นลบ เข้าสู่ระบบการกักตัว จะตรวจอีกครั้งเมื่อครบกักตัว 14 วันในวันที่ 22 ม.ค.2564  มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 89 รายทั้งพนักงานโรงแรม ห้าง และร้านสะดวกซื้อ  ติดตามอาการครบ 14 วัน ไม่พบผู้ที่มีอาการป่วย