ไทยฉีดวัคซีนไฟเซอร์นักเรียนเข็ม1กว่า 2 ล้านโดส เจอกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ไทยฉีดวัคซีนไฟเซอร์นักเรียนเข็ม1กว่า 2 ล้านโดส เจอกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

กรมควบคุมโรคเผยไทยฉีดวัคซีนไฟเซอร์นักเรียนเข็มที่ 1 แล้วกว่า 2 ล้านโดส พบรายงานการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ น้อยกว่า 10 ราย ขณะที่วัคซีนล็อตล่าสุดถึงไทย 1.5 ล้านโดส ไฟเซอร์เข้ามาแล้ว 8 ล้านโดส

วันนี้ (28 ตุลาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1,538,550 โดส เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้วตามกำหนด เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยภาพรวมวัคซีนไฟเซอร์ตามแผนกระจายวัคซีนของประเทศ ขณะนี้ได้ส่งมอบแล้ว 8,000,000 โดส คือ เดือนกันยายน 2,000,000 โดส และเดือนตุลาคมอีก 6,000,000 โดส ยังไม่รวมกับการบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกาอีก จำนวน 1.5 ล้านโดส ซึ่งวัคซีนที่มาถึงล่าสุดนี้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มนักเรียน ผู้ปกครองสามารถแจ้งความประสงค์ให้บุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ได้ตามความสมัครใจ

นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้มีนักเรียนและนักศึกษาอายุ 12 ปี ขึ้นไป ที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา หรือเทียบเท่า แสดงความประสงค์ในการฉีดวัคซีน ผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 4,300,000 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2564) ซึ่งขอยืนยันว่าวัคซีน มีจำนวนเพียงพออย่างแน่นอน เนื่องจากมีการจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มนี้จำนวน 5,700,000 โดส
     แยกเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 4,300,000 โดส และเข็มที่ 2 จำนวน 1,400,000 โดส โดยเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2564 และได้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ในกลุ่มนักเรียน 12-17 ปี แล้วกว่า 2,000,000 โดส สำหรับผลข้างเคียง พบรายงานการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ  (Myocarditis/Pericarditis) น้อยกว่า 10 ราย ทุกรายมีอาการไม่รุนแรงและรักษาหายเป็นปกติเกือบทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยกว่าในต่างประเทศ 

"การฉีดวัคซีนเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตและเจ็บป่วยรุนแรงได้ หากร่วมกับแนวทางป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 แบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) เช่น สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างจากผู้อื่น และล้างมือบ่อยๆ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มการป้องกันโรคได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อภายในครอบครัวหรือชุมชน ตลอดจนทำให้การเปิดเรียนมีความปลอดภัย ไม่เกิดการแพร่ระบาดในโรงเรียน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422" นายแพทย์โอภาส กล่าว