สธ.ชี้ยอดติดโควิด-19แกว่งตัว ไม่ใช่ข้อบ่งชี้เดียวให้หยุดเปิดประเทศ

สธ.ชี้ยอดติดโควิด-19แกว่งตัว ไม่ใช่ข้อบ่งชี้เดียวให้หยุดเปิดประเทศ

สธ.เผยหลายพื้นที่เจอคลัสเตอร์โควิด-19ใหม่ต่อเนื่อง ไม่ได้เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ ย้ำอยู่ร่วมกับโควิด-19 อย่างปลอดและเปิดเมือง ไม่ได้ดูตัวเลขการติดเชื้ออย่างเดียว ดูผู้ป่วยอาการหนักใน รพ. ระบบรองรับ แม้การติดเชื้อมีการแกว่งตัว อาจไม่ใช่ประเด็นข้อบ่งชี้ให้หยุดมาตรการ

      เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2564 ในการแถลงสถานการณ์โควิด-19ของกระทรวงสาธารณสุข นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ภาพรวมการติดเชื้อลดลงแต่เริ่มมีความทรงตัว พื้นที่ติดเชื้อเกิน 100 รายยังใกล้เคียงเดิมทุกวัน กรมควบคุมโรคประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินรวบรวมรายละเอียดพื้นที่มา พบว่า หลายพื้นที่ยังมีคลัสเตอร์ติดเชื้อรายใหม่ขึ้นมาต่อเนื่อง แต่ไม่ได้เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ที่ติดเชื้อจำนวนมากๆ แต่เป็นจุดย่อยๆ เช่น ตลาดที่จันทบุรี 43 ราย , แคมป์ก่อสร้างที่จันทบุรี 3 ราย ระยอง 29 ราย , ล้งผลไม้จันทบุรี 2 ราย , ร้านอาหารจันทบุรี 6 ราย , สถานศึกษาที่ตรัง 7 ราย ฉะเชิงเทรา 7 ราย ลพบุรี 5 ราย , สถานที่ทำงานเดียวกัน สุรินทร์ 4 ราย ลำพูน 11 ราย พิจิตร 7 ราย และงานศพ ลำพูน 2 ราย ขอนแก่น 3 ราย เลย 4 ราย สระแก้ว 4 ราย กาญจนบุรี 9 ราย เป็นต้น

         นพ.เฉวตสรร กล่าวอีกว่า การจะอยู่ร่วมกับโควิด-19 อย่างปลอดและเปิดเมือง ไม่ได้ดูตัวเลขการติดเชื้ออย่างเดียว แต่ดูหลายอย่างประกอบกัน เช่น ผู้ป่วยอาการหนักปอดอักเสบรักษาใน รพ. หากระบบรองรับได้ดี แม้การติดเชื้อมีการแกว่งตัว อาจไม่ใช่ประเด็นข้อบ่งชี้ให้หยุดมาตรการ หลายประเทศการติดเชื้อกลับมาสูงขึ้น แต่ก็ยังเปิดประเทศรับผู้เดินทางต่อเนื่อง จึงต้องติดตามต่อเนื่องว่าแต่ละพื้นที่มีการป่วยหนักเท่าไร เปิดประเทศแล้วแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ รวมถึงการใส่เครื่องช่วยหายใจและการเสียชีวิตด้วย

          ขณะนี้ผู้ป่วยอาการหนักปอดอักเสบและใส่เครื่องช่วยหายใจลดลงตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มีการประชุมร่วมกันแล้วว่าหากเปิดประเทศแล้วติดเชื้อ มีการนอน รพ.มากขึ้นถึงประมาณไหนจะต้องตอบรับหรือปรับมาตรการอย่างไรให้เหมาะสม แต่จะเข้มมาตรการป้องกันติดเชื้อ เพราะหากการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอาจทำให้สัดส่วนผู้ป่วยหนักและใส่เครื่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นได้

         "สถานการณ์ประเทศไทยผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว กทม.ปริมณฑลแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ฉีดวัคซีนครอบคลุมมาก พื้นที่ใต้ที่กำลังระบาด กำลังพยายามบริหารจัดการดูแลเต็มที่ มีทีมส่วนกลางดูแลและเสริมวัคซีนไฟเซอร์ลงไป ซึ่งเป็นคนละส่วน ไม่กระทบเป้าหมายการฉีดนักเรียน ทั้งนี้ เมื่อผ่อนคลายมีกิจกรรมต่างๆ ขอให้ป้องกันเต็มที่สูงสุดตลอดเวลา ซึ่งอาจสบายใจเกินไป เห็นแนวโน้มไม่น่ากังวล  หรืออาจเห็นเกิดขึ้นพื้นที่อื่นไกลจากเราก็อย่าเพิ่งวางใจ อย่าการ์ดตกป้องกันสูงสุดตลอดเวลาทุกที่และทุกคน สถานประกอบกิจการจัดมาตรการ COVID Free Setting เราจะปลอดภัยไปด้วยกัน เพราะการติดเชื้อที่สูงขึ้น " นพ.เฉวตสรรกล่าว

     นพ.เฉวตสรร กล่าวด้วยว่า ส่วนการฉีดวัคซีนวันที่ 17 ต.ค. เพิ่มขึ้น 475,053 โดส สะสม 65,677,794 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 37.6 ล้านราย คิดเป็น 52.3% เข็มสอง 36.2% และเข็มสาม 2.7% ส่วนนักเรียนอายุ 12-17 ปี ฉีดแล้ว 1.13 ล้านราย คิดเป็น 25.3% ขณะนี้มีผู้ปกครองแสดงความจำนงเพิ่มเติมเข้ามา วัคซีนไฟเซอร์มีการกระจายวันนี้พรุ่งนี้จะถึงครบถ้วนในการฉีดเข็ม 1 จะไม่มีประเด็นว่าที่ใดได้วัคซีนน้อยกว่าที่แจ้งเข้ามา ส่วนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 17 จังหวัด ฉีดเข็มแรกแล้ว 72.9% โดย กทม. ภูเก็ต ชลบุรี สมุทรปราการ ฉีดได้สูง
        ส่วนจังหวัดอื่นๆ จะฉีดเพิ่มขึ้นตามมา กลุ่ม 608 เข็มแรกฉีดได้ 73.5% ส่วน 10 จังหวัดจับตามอง (Watch List) ฉีดเข็มแรก 45% ดังนั้น สิ้นเดือนนี้ต้องเร่งฉีดให้ถึงเป้าหมาย 50% ขณะนี้เรายังใช้วัคซีนไขว้ซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าเป็นสูตรหลัก แต่แอสตร้าฯ อาจไม่ได้ส่งตามจำนวนบ้าง แต่ก้ใกล้เคียง เพื่อป้องกันปัญหาขาดตอน คณะกรรมการวิชาการเสนอ ศบค.เห็นชอบสูตรซิโนแวค-ไฟเซอร์ เพื่อให้ช่วงที่แอสตร้าฯ ตึงมือ มาช้ากว่ากำหนดหรือต่ำกว่าจำนวนคาดประมาณ ซึ่งเรื่องปกติในภาวะฉุกเฉินที่เน้นมาตรฐานปลอดภัยสูงสุด อาจส่งล่าช้าบ้างก็มีสูตรซิโนแวค-ไฟเซอร์ใช้ได้