สธ.ลั่น "ไม่จริง" กรณีไทยไม่เซ็นรับวัคซีนไฟเซอร์ล็อต2สหรัฐบริจาค

สธ.ลั่น "ไม่จริง" กรณีไทยไม่เซ็นรับวัคซีนไฟเซอร์ล็อต2สหรัฐบริจาค

รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้ข่าวไทยไม่เซ็นรับวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐฯ จะบริจาค ไม่เป็นความจริง ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศไทยยังไม่ได้รับการประสานทางการทูตจากสหรัฐฯ เรื่องการบริจาควัคซีนเพิ่มเติม

     นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าสหรัฐฯ จะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ให้ไทยอีก 1 ล้านโดส แต่ไทยยังไม่ลงนามรับวัคซีน ว่า การดำเนินการในเรื่องต่างๆ ระหว่างประเทศ จะมีขั้นตอนพิธีการที่เป็นสากล ผ่านกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ซึ่งการสนับสนุนวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสให้กับไทย
    เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา สถานทูตสหรัฐฯ ได้มีเอกสารทางการทูต ถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทยเป็นการล่วงหน้า เพื่อแสดงความประสงค์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะมอบวัคซีนมาช่วยเหลือการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย และรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค จัดทำแผนการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งได้กระจายวัคซีนไปทุกจังหวัดให้ดำเนินการฉีดตามแผนเรียบร้อยแล้ว
     สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ที่มีข่าวจะบริจาคเพิ่มอีก 1 ล้านโดสนั้น จากการประสานข้อมูลกับกระทรวงการต่างประเทศ ทราบว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารทางการทูตจากรัฐบาลสหรัฐฯ แจ้งเรื่องการสนับสนุนวัคซีนให้กับไทยเพิ่มเติม ดังนั้นข่าวดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง

      “เรื่องนี้ได้มีการตรวจสอบกระทรวงต่างประเทศแล้ว ตรวจสอบกับผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องนี้แล้วไม่เป็นความจริง ยังไม่ได้มีการนำเสนอหรือว่าตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น กรณีที่บอกว่ากระทรวงสาธารณสุขหรือรัฐบาลไทยไม่ยอมลงนามหรือรับวัคซีนบริจาคนั้นป็นไปไม่ได้ ข้อมูลคงมีค่าความคลาดเคลื่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลกลางของสหรัฐกับรัฐบาลไทยการติดต่อประสานงาน จะต้องมีลักษณะทางการทูต เหมือนคราวที่แล้วได้มีการรับบริจาคมา 1.5 ล้านโดสนั้น สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยจะต้องออกจดหมายมายังรัฐบาลไทย แสดงความจำนงในการที่จะบริจาควัคซีนให้กับประเทศไทยจำนวนเท่าไร เงื่อนไขอย่างไรบ้าง

     นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับจดหมายในลักษณะดังกล่าว สำหรับการเสนอบริจาคในล็อต 2 ให้กับประเทศไทย ขอให้มีการทำความเข้าใจด้วย อย่าทำให้เกิดความเข้าใจผิด คนที่ประสานงานคือกระทรวงการต่างประเทศ คนที่เกี่ยวข้องคือกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 2 หน่วยงานยังไม่ได้รับการประสานงานใดๆจากทางฝั่งสหรัฐอเมริกา กรณีคนที่ออกมาให้ข้อมูลก็ต้องกลับไปถามเขาที่ออกมาให้ข่าวว่าเป็นอย่างไร

       นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กระแสข่าวว่าประเทศไทยไม่ตอบสนองต่อการรับบริจาควัคซีนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ขอชี้แจงว่าโดยกระบวนการรับบริจาควัคซีนจากต่างประเทศ จะเป็นกระบวนการร่วมกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมาการรับวัคซีนบริจาคสหรัฐอเมริกาคือวัคซีนไฟเซอร์ 1 ล้านโดส ผู้ประสานงานในชั้นต้น คือ กระทรวงการต่างประเทศจะประสานงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย จะมีการแจ้งเป็นหนังสือทางการ

      “หลังจากที่มีการบริจาควัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสแล้ว ก็ยังไม่มีการแจ้งว่าจะบริจาคเพิ่มเติมในช่องทางใดให้กับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงสาธารณสุข จึงขอยืนยันว่ากระแสข่าวที่บอกว่าประเทศไทยปฏิเสธหรือไม่ตอบสนองต่อการบริจาควัคซีนก็เป็นข่าวที่ไม่เป็นความจริงหรือคาดเคลื่อน เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 หน่วยงานคือกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศ ยังไม่ได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศสหรัฐอเมริกา“นพ.โอภาสกล่าว  

      ผู้สื่อข่าวถามถึงมีประเทศอื่นที่แจ้งประสงค์บริจาควัคซีนให้ประเทศไทยหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า มีหลายประเทศที่ต้องการบริจาค แต่ว่ายังขอบอกเป็นทางการไม่ได้ แต่รายล่าสุดก็คือสิงคโปร์จะมีการแลกเปลี่ยนวัคซีน ไม่ใช่การบริจาค เป็นลักษณะเดียวกับที่ดำเนินร่วมกับประเทศภูฏานและรวมถึงประเทศเดิมที่เคยบริจาคก็แสดงความจำนงบริจาคเพิ่มเติม แต่ยังไม่ขออนุญาตบอกรายละเอียดเพิ่มเติม เนื่องจากประเทศต้นทางขอให้แจ้งรายละเอียดเมื่อพร้อม
     เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ทางสหรัฐอเมริกาฯ เคยระบุว่าจะมีการบริจาคให้ประเทศไทยทั้งหมด 2.5 ล้านโดส ซึ่งที่มีการบริจาคมาในล็อตแรก 1.5 ล้านโดส ที่เหลืออีก 1 ล้านโดส ใช่ในกรณีนี้หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ก่อนหน้านี้สหรัฐบริจาคมา 1.5 ล้านโดส ส่วนที่เหลือทางสหรัฐฯ ก็ไม่ได้มีการทำเรื่องบริจาคเข้ามาเพิ่มแต่อย่างใด   ซึ่งการรับบริจาคต้องนำเข้าครม.ด้วย เมื่อประเทศต้นทางยังไม่ได้ระบุว่าจะมีการบริจาคเข้ามา ทางไทยในฐานะผู้รับก็ไม่สามารถไปสอบถามได้ เพราะไม่ใช่วัคซีนซื้อ แต่เป็นวัคซีนบริจาค ที่ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริจาค