2 จังหวัดแรก! โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น

2 จังหวัดแรก! โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น

ปลัดสธ.คาด  2 จังหวัดแรก กทม.-ภูเก็ต โควิด-19กลายเป็นโรคประจำถิ่น วัคซีนครอบคลุม คาดการณ์ผู้ติดเชื้อประมาณ 20%ต้องใช้รพ. ศักยภาพระบบสาธารณสุขดูแลได้ ไม่ระบาดวงกว้าง ย้ำไม่อยากกลับมาล็อกดาวน์รอบใหม่ ทุกคนต้องช่วยดูแลประเทศ เข้มมาตรการ

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 ที่ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า ตามที่มีการคาดการณ์ฉากทัศน์หลังปลดล็อกดาวน์ครบ 1 เดือน หากไม่มีมาตรการอื่นตัวเลขจะเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับที่ผ่านมาตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่เริ่มลดลงค่อนข้างช้า ก็พยายามใช้มาตรการควบคุม อย่างเช่น การแจกชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท หรือATK ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง คนละ 2 ชุด หากรับไปแล้ววางไว้ก็ไม่สามารถป้องกันโรคได้ ขอให้นำมาใช้ตรวจทันทีเพื่อการคัดกรองสัปดาห์ละครั้งแล้วรายงานเข้าสู่ระบบทั้งผลลบและผลบวก
        ขณะนี้จากการติดตามพบว่าเตียง การดูแลรักษาเพียงพอ ส่วนเรื่อง Covid Free Setting มีความสำคัญมาก รวมถึงการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล หรือ Universal Prevention ด้วย ส่วนการฉีดวัคซีน แม้จะฉีดเข็ม 3 ก็ยังติดเชื้อได้ นั่นหมายความว่า ต้องระวังการติดเชื้อทั้งคนที่ฉีดและยังไม่ฉีดวัคซีน แต่สำหรับคนที่ฉีดก็จะช่วยลดอัตราเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ ซึ่งทุกคนต้องตระหนักว่าตัวเองป่วยแต่ไม่มีอาการได้ โดยเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนเมื่อติดเชื้อไม่มีอาการ อาจไว้ใจกัน เปิดหน้าคุยกัน ประมาท ก็เกิดการติดเชื้อและแพร่ระบาดได้

“นโยบายของรัฐบาล ไม่อยากให้มีการล็อกดาวน์ประเทศ ก็พยายามหามาตรการควบคุมโรคได้โดยไม่ต้องล็อกดาวน์ เพราะตั้งแต่คลายล็อกดาวน์ร้านอาหารเปิดได้ ก็ดีใจ เศรษฐกิจก็เดินได้ ก็จะคงสภาพนี้ไว้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความร่วมมือของประชาชนทุกคน ในการช่วยกันดูแลนอกจากตัวเองแล้วยังได้ดูแลประเทศ ดูแลคนรอบข้างได้เท่ากับคนในระบบสาธารณสุขดูแล” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
        นพ.เกียรติภูมิ กล่าวด้วยว่า การผ่อนคลายมาตรการ อาจใช้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่มาป็นตัวแปรน้อยลง แต่จะดูที่ศักยภาพการรองรับผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ ที่ผ่านมาเข้าใจโรคดีขึ้น ได้จัดระบบดูแลรักษาที่บ้าน ดังนั้น ถ้ามีการเจ็บป่วยแล้วรพ.รับได้ ก็จะไม่เกิดปัญหา จะต้องแยกผู้ติดเชื้อ กับผู้เจ็บป่วยออกจากกัน เช่นเดียวกับผู้ติดเชื้อไวรัส HIV หากไม่ป่วยก็ไม่เรียกว่าเป็นโรคเอดส์ ซึ่งคาดการณ์ในผู้ติดเชื้อก่อโรคโควิด-19 จะมีประมาณ 20% ที่ต้องใช้รพ.
       อย่างในกทม.ติดเชื้อใหม่หลัก 1-2 พันรายต่อวัน แต่เมื่อบเทียบกับจำนวนประชากรกว่า 10 ล้านคน ก็ถือว่ายังต่ำ โดยเตียงสีแดงในกทม.ขณะนี้เหลือหลายร้อยเตียง สีเหลืองเหลือหลักพัน และสีเขียวก็เหลือหลายพันเตียง จากเดิมที่เตียงสีแดงล้น รวมถึง  ขณะนี้ประชาชนเข้าใจระบบการรักษาดูแลตัวเองที่บ้านแล้ว และทำได้ดี ไม่ให้มีการระบาดในบ้าน 

    นพ.เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่า  มีการติดตามสถานการณ์ตัวเลขการลดลงของผู้ติดเชื้อรายใหม่ แต่คงไม่ถึงศูนย์ จะยังมีการติดเชื้อในรูปแบบ Endemic หรือว่า โรคประจำถิ่น เป็นโรคที่ไม่มีความรุนแรง ซึ่งมีปัจจัยเกี่ยวกับวัคซีนที่ต้องฉีดให้ครอบคลุมกับประชากร เช่น กทม. ครอบคลุมคนกว่า 90% ส่วนผู้สูงอายุครอบคลุม90% และเข็ม2 เกือบ 40% ดังนั้น กทม.จะเป็นจังหวัดแรกๆ ในการเป็นโมเดลที่โควิด-19เป็นโรคประจำถิ่น คือ ระบาดไม่ได้ ลดการเจ็บป่วยหนัก ก็จะนำไปสู่การดูแลประชาชนอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกันกับ จ.ภูเก็ต ดังนั้น 2 จังหวัดนี้ก็จะเคลื่อนเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นได้เป็นจังหวัดแรกๆ 
       “ฝ่ายวิชาการติดตามประเมินสถานการณ์ ซึ่งการเป็นโรคประจำถิ่นจะเกิดขึ้นเป็นปรากฎการณ์ ดังนั้นต้องมาศึกษาว่าจะทำให้เกิดปรากฎการณ์หนึ่งไปสู่อีกปรากฎการณ์ได้อย่างไร เช่น ฉีดวัคซีนคอรบคลุม การดูแลรักษาพยาบาลได้อย่างดี ป้องกันตัวเองได้ดี ก็จะกลายเป็นว่าเมื่อโรคไม่ระบาด ระบาดไม่รุนแรง ก็จะเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งประเทศไทยจะทำเป็นประเทศแรกๆ ในการนำแผนต่างๆ มาทำตัวชี้วัด เพื่อกำกับให้เกิดผลลัพธ์ตามคาดหมาย เพื่อให้โรคสงบได้เร็ว แต่ก็เพิ่งรู้จักเขาครั้งแรก ก็อาจมีการระบาด การกลายพันธุ์ต่างๆก็ต้องระวังและคำนึงอยู่เสมอ” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
       เมื่อถามถึงว่าเมื่อไหร่ใน 2 จังหวัดจะเคลื่อนเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น  นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ไม่อยากตั้งเป้าว่าจะกลายเป็นโรคประจำถินเมื่อไหร่  แต่มีจุดมุ่งหมายที่จะทำมาตรการ ทำแผนงานต่างๆ ด้วยการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม อย่างเช่น มากกว่า 80 %ขึ้นไป  มีสถานพยาบาลรองรับเป็นอย่างดี ประชาชนไม่ได้เจ็บป่วยล้มตายมากจนระบบรองรับไม่ไหว ในช่วงนั้นก็หมายถึงควบคุมโรคได้ก็จะเป็นโรคประจำถิ่น ก็จะเปลี่ยนการสนใจจากการติดเชื้อเพราะไม่ได้ทำให้ลำบากอีกต่อไป ก็จะมาสนใจกับผู้ที่ติดเชื้อแล้วมีอาการป่วย