วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า : ลิ่มเลือดพบบ่อยแค่ไหน?

วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า : ลิ่มเลือดพบบ่อยแค่ไหน?

ส่องงานวิจัย การฉีด "วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า" เพื่อป้องกันการเป็นโรคโควิด-19 ทำให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่สมองและท้องจริงหรือไม่? และเสี่ยงแค่ไหน?

คนไทยจะต้องพึ่งพาวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า (AZ-Oxford) เป็นหลักในการป้องกันการเป็นโรคโควิด-19 แต่มีข่าวออกมามากมายเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว ที่อาจมีอาการข้างเคียงรุนแรงถึงเสียชีวิต คือเกิดลิ่มเลือด ซึ่งผมพบบทวิเคราะห์ที่ค่อนข้างละเอียดของซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 8 เม.ย. จึงขอนำเอาบทวิเคราะห์ดังกล่าวมาสรุปให้อ่านกันในตอนนี้ครับ

หลังจากการพบหลักฐานว่าการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงคือ ลิ่มเลือดอุดตันที่สมองและที่ท้องได้ในประเทศยุโรปในเดือน มี.ค. หน่วยงานที่รับผิดชอบของยุโรปคือ European Medicines Agency (EMA) และของอังกฤษคือ UK MHRA จึงได้นำข้อมูลและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา และประกาศผลการพิจารณาให้สาธารณชนทราบเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่มีประเด็นสำคัญๆ ดังนี้

1.ในกรณีของ EMA ยอมรับว่า

1.1 “there is a possible causal association” กล่าวคือเป็นไปได้ที่จะมีความเชื่อมโยงกันระหว่างการฉีดวัคซีน AZ กับการเกิดลิ่มเลือด

1.2 แต่ EMA ก็ยืนยันไม่เปลี่ยนแปลงคำแนะนำให้สามารถฉีดวัคซีน AZ ได้ต่อไป เพราะประโยชน์ที่พึงได้รับนั้นมีมากกว่าอันตรายที่อาจเกิดขึ้นซึ่งมีความเสี่ยงต่ำมาก

1.3 อย่างไรก็ดี หลายประเทศในยุโรปเพิ่มข้อกำหนดของตนเอง โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีน AZ สำหรับผู้สูงอายุเป็นหลัก (อายุ 50-60 ปีหรือมากกว่า)

ในส่วนของยุโรปนั้นมีรายงานว่ามีผู้ที่ฉีดวัคซีน AZ แล้วเกิดลิ่มเลือดขึ้นทั้งหมด (ถึงวันที่ 22 มี.ค.2564) 86 ราย เป็นลิ่มเลือดที่สมอง 62 ราย (เรียกว่า cerebral venous sinus thrombosis หรือ CVST) และลิ่มเลือดที่ท้อง (เรียกว่า splanchnic vein thrombosis) 24 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 18 ราย ทั้งนี้จากการฉีดวัคซีน AZ รวมทั้งสิ้น 25 ล้านเข็ม ทำให้ EMA สามารถสรุปได้ว่าความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดที่เป็นภัยอันตรายต่อชีวิตนั้นมีอยู่ค่อนข้างต่ำมาก คือประมาณ 1 ใน 100,000 ราย

อย่างไรก็ดี ในส่วนของข้อมูลของยุโรปนั้นไม่ได้แบ่งแยกในรายละเอียดออกเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น เพศชายหรือเพศหญิง และไม่ได้แบ่งตามอายุ สาเหตุเพราะมีตัวอย่างกรณีการป่วยน้อยราย จึงคงไม่มีความมั่นใจว่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนได้ในเชิงสถิติ แต่ EMA มีข้อสังเกตว่าผู้ป่วย “ส่วนใหญ่” นั้นเป็นผู้หญิงอายุน้อยกว่า 60 ปี

สำหรับประเทศอังกฤษนั้นก็ยอมรับว่า “ความเชื่อมโยง” ระหว่างการฉีดวัคซีน AZ กับการเกิดลิ่มเลือด โดยพบการเกิดลิ่มเลือดที่รุนแรง (serious blood clot) ทั้งสิ้น 79 ราย (ตัวเลขถึงวันที่ 31 มี.ค.) และมีผู้เสียชีวิต 19 รายเป็นผู้หญิง 51 คน ผู้ชาย 28 คน แต่ทั้งนี้ก็ได้ฉีดวัคซีน AZ ให้กับผู้หญิงในจำนวนที่สูงกว่าผู้ชายด้วย โดยฉีดไปแล้ว 20 ล้านเข็ม

161884721895

ที่น่าสนใจคือ งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Cambridge ที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงในการแถลงข่าวด้วย ดังข้อสรุปปรากฏในตาราง ซึ่งพยายามประเมิน “ผลดี-ผลเสีย” ของการฉีดวัคซีน AZ โดยในคอลัมน์แรกนั้นคือการประเมินว่าการฉีดวัคซีน AZ จะให้ประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงอาการป่วยหนักจนต้องนำตัวเข้ารักษาในห้องไอซียูต่อ 100,000 กรณีที่เกิดการเป็นโรคโควิด-19 ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนที่อายุ 20-29 ปี มีโอกาสป่วยหนักต้องเข้าไปรักษาตัวในห้องไอซียูเพียง 0.8 คนต่อ 100,000 คน (ในช่วงเวลา 16 สัปดาห์) แต่ในขณะเดียวกัน คนอายุน้อยดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการลิ่มเลือดเท่ากับ 1.1 คนต่อ 100,000 คน

เป็นผลให้ UK MHRA แนะนำว่าสำหรับคนกลุ่มดังกล่าวนั้นควรเลือกฉีดวัคซีนประเภทอื่นที่ไม่ใช่ AZ จะดีกว่า แต่สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่านั้นก็ยืนยันว่ายังควรรับการฉีดวัคซีน AZ เพราะประโยชน์ที่พึงจะได้รับนั้นสูงกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดอย่างมาก เช่นในกรณีของผู้ที่มีอายุ 60-69 ปีนั้นมีเพียง 0.2 คนต่อ 100,000 คน (หรือ 2 คนต่อ 1 ล้านคน) ที่จะเกิดลิ่มเลือด แต่จะช่วยให้ 14.1 คนไม่ป่วยหนักจนต้องเข้าไปรักษาตัวในห้องไอซียู

นอกจากนั้นก็ยังได้มีการประเมินอีกว่าการฉีดวัคซีน AZ ที่ต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็มนั้น เมื่อฉีดเข็มแรกไปแล้วจะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้สูงถึง 73% (และสูงถึง 90% เมื่อฉีดเข็มที่ 2) ทั้งนี้มีข้อสรุปด้วยว่าเมื่อฉีดวัคซีน AZ แล้ว ความเสี่ยงที่จะป่วยหนักจนต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลจะลดลงไปมากกว่า 80%

ประเด็นสุดท้ายคือ การเกิดลิ่มเลือดนั้นเป็นเรื่องของพันธุกรรมหรือไม่เพียงใด ซึ่งได้มีการประเมินว่าที่ยุโรปนั้นน่าจะมีคนที่มียีนที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดลิ่มเลือด (คือยีน Factor V Leiden) ประมาณ 3-15% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ในขณะที่ US CDC ประเมินว่ามีประชาชนอเมริกันประมาณ 5-8% ที่มียีนที่ทำให้มีความเสี่ยงดังกล่าว

การจะเกิดหรือไม่เกิดลิ่มเลือดนั้นให้สังเกตอาการที่ผิดปกติที่ยืดเยื้อเกินกว่า 1 สัปดาห์ เช่น การหายใจไม่ค่อยออก เจ็บหน้าอก ขาบวม ปวดท้องเรื้อรัง ปวดหัวอย่างหนัก การมองเห็นที่พร่ามัวและเม็ดเลือดใต้ผิวหนัง (blood spots under the skin)

ทั้งนี้หน่วยงานด้านสาธารณสุขของเยอรมนีชี้แจงว่า อาการลิ่มเลือดนั้นสามารถรักษาได้โดยไม่ยาก โดยโรงพยาบาลขนาดกลางและขนาดใหญ่จะสามารถทำการรักษาได้ เพราะมีอาการเหมือนกับการแพ้ยาละลายลิ่มเลือดคือ Heparin ซึ่งมีใช้มาตั้งแต่ปี 2459 (105 ปี) มาแล้วครับ