สธ.เผยความเสี่ยงโควิด-19 'บิ๊กเมาน์เท่น'เพิ่มพรวด

สธ.เผยความเสี่ยงโควิด-19 'บิ๊กเมาน์เท่น'เพิ่มพรวด

สธ.เผยจุดสำคัญที่ 'บิ๊กเมาน์เท่น'ทำไม่ได้มาตรการป้องกัน'โควิด-19'  บริหารจัดการหน้างานไม่ได้ คนใส่หน้ากากอนามัยแค่ 50 %  ย้ำงานร่วมกลุ่มคนจำนวนเรือนหมื่นจัดการไม่ดี โอกาสแจ็คพอตสูง แนะงานลักษณะนี้ควรจัดแบบซอยย่อยๆ  จะช่วยจำกัดความเสี่ยงไม่ให้กระจาย

      จากกรณีที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครราชสีมาที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน สั่งปิดสถานที่จัดคอนเสิร์ตบิ๊กเมาน์เท่นตั้งแต่เวลา 14.00 น.วันที่ 13 ธ.ค.2563 เนื่องจากไม่สามารถบริหารจัดการตามมาตรการในการป้องกันโรคโควิด-19ได้ ส่งผลให้การจัดคอนเสิร์ตในวันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่ 2 ของงานต้องยุติก่อนกำหนดเดิมนั้น

            เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 14 ธ.ค.2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค(คร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการแถลงข่าวสถานการณ์โควิด-19ว่า  เมื่อพูดถึงเรื่องโรคติดต่อจะเกี่ยวกับความเสี่ยง  โดยความเสี่ยงจะแปรตามจำนวนคน ซึ่งการประเมินความเสี่ยงจะเอาความเสี่ยงมาคูณกับจำนวนคน หากมีรวมกลุ่มกันจำนวนมาก โอกาสแจ็คพอตก็จะสูงขึ้น เพราะมีโอกาสที่จะมีคนติดเชื้อ 1 รายเข้าไปอยู่ร่วมก็จะมากขึ้น รวมถึง โอกาสที่จะกระจายเชื้อไปยังคนอื่นก็จะมากขึ้นเพราะมีคนมาอยู่ใกล้ชิดจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หากสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาความเสี่ยงก็จะลดลง

       นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า กรณีบิ๊กเมาน์เท่นจากการประเมินพบว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นพรวด จากการที่คนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมาอยู่ร่วมกันจำนวนมาก อีกทั้ง ผู้ร่วมงานมีการสวมหน้ากากอนามัยภายในงานไม่ถึง 50 % อาจจะมีการสวมในช่วงที่ผ่านประตูแต่เมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่ได้สวม แม้จะเป็นการจัดงานกลางแจ้งที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการจัดงานในห้องที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก  แต่การที่คนจำนวนถึง 3 หมื่นคนมาอยู่ร่วมก็เพิ่มความเสี่ยง โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันแบบแออัดในโซนหน้าเวที ไม่มีการสวมหน้ากากอนามัยและมีการตะโกนร้องเพลง โอกาสที่คนติดโควิด-19 หลุดเข้าไปสัก 1 รายเข้าไปอยู่ร่วมกันโอกาสแพร่เชื้อไปคนอื่นก็จะมากขึ้น
          “ก่อนที่จะจัดงานผู้จัดได้มีการเสนอแผนที่มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19กับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาแล้ว ซึ่งเมื่อถึงวันจัดงานจริงก็สามารถปฏิบัติตตามได้ค่อนข้างดี แต่การบริหารความเสี่ยงหน้างานทำได้ไม่ดี เช่น ผู้ร่วมงานไม่ใส่หน้ากาอนามัยตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่ความผิดของผู้จัดงาน และการเว้นระยะห่าง หากมีการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาและเว้นระยะห่างได้ดี ความปลอดภัยก็จะมากขึ้น ซึ่งหากมีคนติดเชื้อขึ้นมากจริงๆ โดยปกติจะต้องติดตามผู้สัมผัสอีก 20-40คน แต่หากเป็นคอนเสิร์ตที่มีคนมาก ผู้ติดเชื้อ 1 รายจะต้องติดตามไปอีกราว 100 คน”นพ.โสภณกล่าว
          ทั้งนี้  แม้ยังไม่พบผู้ติดโควิด-19ไปร่วมงานนี้ แต่ในจำนวนผู้ไปร่วมงานที่ได้สแกนไทยชนะนั้น ได้มีการส่ง SMS ให้คำแนะนำเพื่อเป็นการเฝ้าระวังตัวเอง หากไม่มีอาการป่วยให้สังเกตอาการตัวเองจนครบ 14 วัน  ถ้ามีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส และท้องเสียให้รีบไปตรวจหาโควิด-19ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านพร้อมโชว์SMSให้เจ้าหน้าที่ดูจะได้รับการตรวจหาเชื้อโดยไม่เสียค่าใช้
        นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า ในการจัดงานลักษณะเดียวกันนี้รวมถึงงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่  ดีที่สุดคือจัดงานขนาดเล็กมีคนร่วมจำนวนไม่มาก หรือถ้ามีคนมากภายในงานควรมีการแบ่งโซนหรือจัดพื้นที่เป็นซอยๆ  ไม่ให้มีการข้ามโซนหรือซอย จะเป็นการจำกัดความเสี่ยงไม่ให้กระจาย สมมติมีคนร่วม 30,000 คน แต่จัดซอยย่อยๆราว 100 คน หากพบผู้ติดเชื้อในซอยไหนก็จะกระจายได้น้อยกว่าการไม่แบ่งซอยย่อย  อีกทั้ง ไม่ควรจัดงานในลักษณะที่นำคนจาคนละจังหวัดมารวมกัน เพราะหากมีคนติดเชื้อในงานจะทำให้เพิ่มกระจายออกไปในจังหวัดต่างๆ แต่หากเป็นคนจากพื้นที่หรือจังหวัดเดียวกันก็เท่ากับความเสี่ยงเท่าเดิม
    ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19(ศบค.) กล่าวว่า คาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ กำหนดว่าการจัดงานต่างๆ จะต้องให้มีมาตรการ ตามที่ภาครัฐกำหนด ดูแผนการจัดงานของภาคเอกชน เชื่อว่าเป็นความเหนื่อยยากทั้ง 2 ฝ่าย แต่พอถึงหน้างานจริงๆ แล้วคนนับหมื่นมาอยู่ด้วยกันความร่วมมือที่จะให้เป็นไปตามแผนของผู้จัดงานและภาครัฐที่วางเอาไว้นั้นคือความร่วมมือของประชาชน หลายครั้ง ที่มีความกังวลใจว่าทำไมถึงต้องคิดกันละเอียดมากเช่นการเปิดให้เข้าชมกีฬาที่ถึงแม้จะเป็นยิมเนเซียมที่สามารถบรรจุคนได้ 70,000 คน  แต่เปิดให้เข้าแค่ประมาณ 4,000 คน เพราะตามข้อกำหนดให้มีทางเข้าแค่ 1 ทาง ถ้าให้มาเต็มจำนวนก็จะเกิดความแออัดที่ประตูทางเข้า ดังนั้น การจัดงานที่มีคนมารวมกันนับพัน นับหมื่นคนนั้นจึงต้องการความร่วมมือกันทั้ง 3 ฝ่าย คือภาครัฐ ผู้จัดงาน และประชาชน จะขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ซึ่งความสำเร็จของการควบคุมสถานการณ์ของประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นเพราะทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ

     “ที่สำคัญที่เรากังวลใจและกรมควบคุมโรคก็เน้นย้ำเสมอคือเรื่องของแอลกอฮอล์ เมื่อมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้บรรยากาศของการรับฟังกัน เชื่อฟังกันจะทำได้ยากมากขึ้น การปฏิบัติตามมาตรการที่คุยกันไว้ทำได้ยาก พูดง่ายๆ คือ เมื่อเหล้าเข้าปาก การควบคุม พฤติกรรม อารมณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นความยากทั้งของผู้จัดและภาครัฐ เป็นเรื่องที่ต้องเห็นใจอย่างไรก็ตาม วันนี้ต้องเน้นย้ำภาคประชาชนในการสวมหน้ากากอนามัยเว้นระยะห่างและล้างมือบ่อยๆ สิ่งที่พูดกันมาร่วมปีนี้ยังต้องปฏิบัติการอย่างเข้มข้น”นพ.ทวีศิลป์กล่าว