อนาคตคนเจนใหม่ ในเมืองใหม่..ชีวิตใหม่

อนาคตคนเจนใหม่ ในเมืองใหม่..ชีวิตใหม่

"เมือง" ในอุดมคติของใครหลายๆคนที่ต้องการในอนาคต คงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ความสะดวกสบาย ผสมผสานกับสิ่งแวดล้อมที่ยังอุดมสมบูรณ์ และความปลอดภัย รองรับความหลาากหลายของผู้คนในทุกช่วงวัย ทุกอาชีพ

จากการศึกษาและวิจัยอนาคตกับกลุ่ม Gen Z ทางฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ได้ค้นพบว่ากลุ่มดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งมุมมองความคิดและพฤติกรรมที่จะส่งผลถึงอนาคตความเป็นอยู่ในอนาคต โดย Gen Z จะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและประเด็นหลักเพื่อสังคมมากขึ้น มีอัตลักษณ์ตัวตนที่ชัดเจน ความยืดหยุ่นในการทำงานและการก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่เข้าใจในเรื่องความหลากหลายในอนาคต ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อน และเป็นตัวแปรด้านเศรษฐกิจของประเทศและของโลกในอนาคตอย่างแท้จริง

งานเสวนา “Future Generations and Their Impact on the Future of Living” จัดโดยศูนย์วิจัยอนาคตศาสตร์ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab)” ภายใต้ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) ร่วมกับ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA อีกหนึ่งกิจกรรมที่จะสร้างความตระหนักรู้ และให้ความสำคัญกับอนาคตของเยาวชนคนเจเนอเรชั่นใหม่ เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ร่วมสร้างสังคมน่าอยู่ และเมืองอัจฉริยะ

นายคีรินทร์ ชูธรรมสถิตย์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)เปิดเผยว่า MQDC มีวิสัยทัศน์ที่แน่วแน่พัฒนาธุรกิจทั้งในกลุ่มที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ สำนักงาน ศูนย์การค้า รวมถึงธุรกิจการให้บริการ ภายใต้กลยุทธ์ For All Well-Being ที่ต้องการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกสิ่งบนโลก โดยปีนี้ได้จัดตั้ง ศูนย์วิจัยอนาคตศาสตร์ ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญต่อเหตุการณ์ในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นโดยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

การจัดงานเสวนาครั้งนี้ เป็นการประกาศความร่วมมือที่ดีกับพันธมิตร ทั้งกองทุนUNFPA และ NIA สร้างความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของประชากร ทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมกันระหว่างภาครัฐ ประชาสังคม และเอกชน เพื่อให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากร รวมถึงพฤติกรรมที่อาจส่งผลกระทบการดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ"นายคีรินทร์ กล่าว

"ประเทศไทย"เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเสริมสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชากรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกันคนไทยก็มีอายุคาดเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น และจำนวนการทำงานของผู้หญิงมีเพิ่มมากขึ้นกว่าประชากรรุ่นก่อนอย่างชัดเจนจากการที่ได้รับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ประกอบกับตลาดแรงงานเปิดรับมากยิ่งขึ้น ทำให้มีการพัฒนาเป็นอย่างมากในสังคมไทย

ดร.วาสนา อิ่มเอม หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย กล่าวว่าปัจจุบันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าประเทศไทยเข้าสู่สภาวะสังคมผู้สูงวัยอย่างซึ่งสังคมไทยใช้เวลา 20 ปีในการเข้าสู่สังคมสูงวัย และการมองภาพไม่ได้มองเฉพาะผู้สูงอายุ 60ปี ขึ้นไป แต่ต้องมองช่วงอายุอื่นๆ เพราะไทยเป็นเมืองโตเดี่ยวนานแล้ว และคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ก็ยังเป็นเมืองโตเดี่ยว คือ กรุงเทพมหานครมีจำนวนประชากรมากสุด  ซึ่งตอนนี้คนไทยมีลูกน้อยลงเพราะหลายคนเลือกที่จะไม่แต่งงาน หรือแต่งงานแล้วมีลูก 1 คน อีกทั้งสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก อีก 5ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรสูงมากประมาณ70 กว่าล้านคน  และหลังจากนั้นจะลดลง เหลือเพียงประมาณ40 ล้านคน เพราะตอนนี้มีอัตราการเกิดน้อยลงมาก โดยตั้งแต่ปี 1975 ก็มีอัตราการเกิดลดลงมาตลอด แต่ในส่วนของอัตราการตายจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การเข้าสู่สภาวะดังกล่าวมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม อีกทั้งทำให้ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเพิ่มมากยิ่งขึ้น

เยาวชนรุ่นใหม่ ถือเป็นกลุ่มคนที่เราต้องมุ่งเน้นให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างความมั่นคงซึ่งเราควรมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต นับตั้งแต่วัยแรกเกิดที่มาจากความพร้อมและตั้งใจของผู้ให้กำเนิด พร้อมทั้งส่งเสริมความสามารถและศักยภาพในการลงทุนเพื่อพัฒนาเกี่ยวกับทุนมนุษย์สำหรับทุกช่วงวัย ทั้งในเรื่องสุขภาพและการศึกษาที่มีคุณภาพ ตามหลักสิทธิมนุษยชนที่มุ่งให้ความสำคัญกับทุกคนและไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง อีกทั้งมีการเตรียมพร้อมทางสุขภาพและเศรษฐกิจเพื่อเข้าสู่ช่วงเวลาสูงวัย เพื่อให้แน่ใจว่าประชากรทุกคนสำคัญและได้พัฒนาศักยภาพของตนเองและของสังคมอย่างเต็มที่ดร.วาสนา กล่าว

 การมองไปยังอนาคตมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการขับเคลื่อนงานทางด้านนวัตกรรมที่ต้องอาศัยการมองภาพอนาคตในการกำหนดแผนงาน ซึ่งอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการพัฒนางานด้านดังกล่าว คือเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงกันระหว่างเจเนอเรชั่น และจะมาเป็นส่วนช่วยในการสร้างมุมมองต่าง พร้อมยกระดับภาพลักษณ์ด้านนวัตกรรมของประเทศไทยให้มีการพัฒนาต่อไป

ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ทั้งในด้านการช่วยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับทักษะและความสามารถทางนวัตกรรม เพราะทุกเจเนอเรชั่นนั้น มีวิธีคิดและแนวทางการพัฒนาที่มีความแตกต่างกัน แต่ไม่ได้เป็นความแตกต่างที่ขัดแย้ง เนื่องจากเป้าหมายหรือจุดยืนล้วนเป็นเป้าหมายที่ชัดเจน คือเพื่อพัฒนาสังคมและสร้างอนาคตที่ดีร่วมกัน

โดยเป้าหมายที่แท้จริงของการสร้างนวัตกรรมต่าง นั้น คือการนำความรู้และเทคโนโลยีมาใช้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างคุณค่าให้กับคนในทุกช่วงวัย พร้อมทั้งสร้างความกลมกลืนและปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้อย่างยั่งยืน ซึ่งหากเราได้เปิดใจเรียนรู้และเข้าใจสังคมและคนรอบข้างแล้ว เราก็จะได้เห็นโอกาสที่หลากหลายของการเกิดนวัตกรรมใหม่ มากยิ่งขึ้นในการสร้างสังคมที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ดร.การดี เลียวไพโรจน์ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่นจำกัด กล่าวว่าการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และแนวคิดที่หลากหลายของทุกฝ่ายจะสามารถทำให้ทุกคนหันมามองถึงความสำคัญของคนเจเนอเรชั่นใหม่กันมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มคนที่เข้ามามีบทบาทกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้ องค์กรและภาคธุรกิจจำเป็นต้องทำความเข้าใจและสนับสนุนเด็กเจนนี้ เตรียมปรับตัวและใช้แนวโน้มเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยการเลือกใช้จุดเด่นและศักยภาพของคนกลุ่มนี้ให้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเราหวังว่าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าของประเทศไทยร่วมกัน