'องค์การเภสัชกรรม'เพิ่มกำลังผลิต-พื้นที่ปลูก'กัญชา'อีกกว่า32เท่า
หลังจากที่ "กัญชาทางการแพทย์"ระดับเมดิคัลเกรด ต้นแรกได้ดำเนินการปลูกโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.)เมื่อก.พ.2562 ซึ่งเป็น"ระดับการวิจัยและพัฒนา" ผ่านไปกว่า 1 ปีครึ่งเข้าสู่การดำเนินการระยะที่ 2 "ระดับกึ่งอุตสาหกรรม" ด้วยการเพิ่มพื้นที่ปลูกและกำลังการผลิต
เป็นแบบโรงเรือน(Green House)และกลางแจ้งพื้นที่ 1,552 ตารางเมตร จำนวน 1,300 ต้นปี ใช้กัญชา 3 สายพันธุ์ เพื่อตอบโจทย์วิธีการปลูก สายพันธุ์ที่เหมาะสมกับประเทศไทย และคนไทยเข้าถึงยาอย่างทั่วถึง
ในระยะที่ 1 ที่ผ่านมา เป็นระดับการวิจัยและพัฒนา อภ.วิจัยและผลิตดอกกัญชาและผลิตยาจากสารสกัดกัญชาชนิดน้ำมันหยดใต้ลิ้น (Sublingual Drop) โดยปลูกแบบ Indoor ด้วยเทคโนโลยีระบบรากลอย (Aeroponics) ซึ่งเป็นระบบหนึ่งในระบบการปลูกกัญชาเกรดมาตรฐานทางการแพทย์ บนพื้นที่ 100 ตารางเมตรขององค์การฯ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 นับเป็นการปลูกกัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมายต้นแรกของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้ทำการเพาะปลูกและผลิตเป็นยาจากสารสกัดกัญชาชนิดน้ำมันหยดใต้ลิ้น (Sublingual drop ) และกระจายให้สถานพยาบาลต่างๆไป แล้วจำนวน 3 รอบ
การเพาะปลูก มี 3 สูตร ได้แก่ สูตร THC:CBD 1:1 ใช้ในผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือใช้ตามแพทย์สั่ง สูตร CBD ใช้ในผู้ป่วยโรคลมชักที่รักษายาก โรคลมชักที่ดื้อต่อการรักษา หรือใช้ตามแพทย์สั่ง และสูตร THC เด่น ขนาดบรรจุ 5 มิลลิลิตร (ใน 1 หยด ประกอบด้วย THC 0.5 มิลลิกรัม)
"ผลการศึกษาการนำไปใช้กับผู้ป่วยโรคต่างๆ เป็นไปในทิศทางที่ดี ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รับประทานอาหารได้มากขึ้น นอนหลับ เจ็บปวดน้อยลง การชักเกร็งลดลง ลดการอาเจียน " นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม กล่าว
จากนี้โครงการสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ของอภ. เข้าสู่ระยะที่ 2 เพื่อขยายกำลังการผลิต ทั้งด้านการเพาะปลูก และด้านการสกัดให้เป็นระดับกึ่งอุตสาหกรรม
นพ.โสภณ กล่าวว่า มีการดำเนินการโดยขยายพื้นที่การเพาะปลูกแบบ Indoor เพิ่มอีก 1,700 ตารางเมตร ด้วยระบบน้ำหยด (Drip irrigation system) อยู่ระหว่างการก่อสร้างและติดตั้งระบบเพาะปลูก โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์จากโครงการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม องค์กรต่อต้านคอรัปชัน (ประเทศไทย) ร่วมสังเกตการณ์ และมีการขยายกำลังการผลิตสารสกัดเบื้องต้น สามารถรองรับการผลิตสารสกัดประมาณ 800 กิโลกรัมต่อปี สามารถผลิตยาจากสารสกัดกัญชาประมาณ 8,000 ลิตร ที่ฝ่ายเภสัชเคมีภัณฑ์ องค์การเภสัชกรรม คลอง 10 อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
นอกจากนี้ ได้สร้างโรงเรือน (Greenhouse) พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีระบบการเพาะปลูกอีก 4 โรงเรือน 3 ระบบ ที่มีการสร้างสภาวะการปลูกที่แตกต่างกัน และปลูกกลางแจ้ง (Outdoor) บนพื้นที่ขององค์การเภสัชกรรม อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี เพื่อศึกษาและพัฒนาวิธีการเพาะปลูก ตลอดจนพัฒนาสายพันธุ์กัญชาทางการแพทย์ที่ให้สารสำคัญสูง และเหมาะสมกับการปลูกในประเทศไทย และจะสามารถลดต้นทุนการผลิตช่อดอกกัญชาในอนาคต
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม อธิบายเพิ่มเติมว่า การดำเนินการปลูกกัญชาทางการแพทย์ในรูปแบบโรงเรือน (Greenhouse) และกลางแจ้ง (Outdoor) บนพื้นที่อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรีนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการในระยะที่ 2 เป็นระดับกึ่งอุตสาหกรรมใช้พื้นที่ในการดำเนินการ 1,552 ตารางเมตร รองรับการปลูกกัญชาได้ประมาณ 1,300 ต้นต่อปี เพื่อศึกษาและพัฒนาวิธีการเพาะปลูก ตลอดจนพัฒนาสายพันธุ์กัญชาทางการแพทย์ที่ให้สารสำคัญสูงและเหมาะสมกับการปลูกในประเทศไทย และจะสามารถลดต้นทุนการผลิตช่อดอกกัญชาในอนาคต เน้น 3 สายพันธุ์ลูกผสมที่จำเป็นทางการแพทย์ ทั้ง CBD เด่น THC เด่น CBD : THC (1:1) และสายพันธุ์ไทย
ปลูกในโรงเรือน (Greenhouse) 3 ระบบ ได้แก่ ระบบที่ 1 โรงเรือนแบบลดอุณหภูมิด้วยการระเหยน้ำ (Pad and fan) จำนวน 1 โรงเรือน 1 รอบปลูกต่อปี จำนวร 250ต้นต่อปี โดยการติดตั้งพัดลมดูดอากาศผ่านแผ่นทำความเย็นเพื่อให้น้ำระเหยเป็นไอน้ำ น้ำจะดูดซับพลังงานจากอากาศในรูปของความร้อนแฝง ทำให้อากาศที่สูญเสียความร้อนไปกับการระเหยของน้ำมีอุณหภูมิต่ำลง จึงเป็นระบบที่สามารถลดอุณหภูมิได้และมีต้นทุนต่ำ แต่ไม่สามารถควบคุมความชื้นได้ เหมาะสำหรับปลูกกัญชาทางการแพทย์ในช่วงระยะเจริญทางลำต้น
ระบบที่ 2 โรงเรือนแบบผสมผสานควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ( Hybrid air conditioner and dehumidifier, HAC) 1 โรงเรือนสามารถปลูกได้ 4 รอบต่อปี ได้ 896 ต้นต่อปี เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นได้ดี รวมทั้งกรองอากาศและป้องกันโรค อาทิ ราแป้ง โดยระบบ HAC สามารถทำความเย็นและลดความชื้นได้ดีกว่าการติดตั้ง air conditioner อีกทั้งยังใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 19 % และระบบควบคุมความชื้น (Dehumidifier) ที่เหมาะสม จึงเหมาะสำหรับปลูกกัญชาทางการแพทย์ในช่วงระยะออกดอก เพื่อให้ได้ช่อดอกกัญชาที่มีคุณภาพ
ระบบที่ 3 โรงเรือนแบบระบายอากาศธรรมชาติ (Open air) จำนวน 2 โรงเรือน 1 รอบปลูกต่อปี จำนวน 224ต้นต่อปี เป็นโรงเรือนแบบเปิด มีหลังคาเพื่อป้องกันหยาดน้ำฟ้า และติดตั้งตาข่ายสำหรับกันแมลงขนาดใหญ่ เป็นโรงเรือนที่ต้นทุนต่ำทั้งราคาโรงเรือน และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ แต่ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้ ซึ่งจะใช้สำหรับการศึกษาวิจัยวิธีการเพาะปลูกกัญชาในสภาพอากาศธรรมชาติ รวมทั้งคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีสารสำคัญสูงให้เหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไทย นอกจากนั้นยังได้ทำการปลูกแบบกลางแจ้ง(Outdoor) เพื่อศึกษา วิจัยพัฒนาควบคู่กันไปด้วยในพื้นที่บริเวณเดียวกัน
“การดำเนินการระยะที่2 คาดว่าภายในปี 2563 คาดว่าจะสามารถแยกสารCBD และจะได้องค์ความรู้จากการศึกษาและพัฒนาวิธีการเพาะปลูกตลอดจนพัฒนาสายพันธุ์กัญชาทางการแพทย์ที่ให้สารสำคัญสูงและเหมาะสมกับการปลูกในประเทศไทย และจะสามารถลดต้นทุนการผลิตช่อดอกกัญชาได้ในอนาคต ทำให้อภ.สามารถนำกัญชามาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยและประชาชนได้เข้าถึงยาอย่างทั่วถึง ช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้ต่อไป”นพ.วิฑูรย์กล่าว
อนึ่ง จะเห็นได้ว่า ในระยะที่ 1 อภ.มีการดำเนินการปลูกกัญชาเมดิคัลเกรดในพื้นที่ 100 ตารางเมตร ส่วนระยะที่ 2 ขยายการเพาะปลูก เพิ่มอีก 1,700 ตารางเมตร ด้วยระบบน้ำหยด และโรงเรือน พื้นที่ 1,552 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากระยะที่ 1 ถึง 32 เท่า
ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม2563 ที่องค์การเภสัชกรรม อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการปลูกกัญชาทางการแพทย์ในรูปแบบโรงเรือน (Greenhouse)”
นายอนุทิน กล่าวว่า ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์อยู่ 3 รูปแบบหลัก คือ ผลิตภัณฑ์ยาจากสารสกัดกัญชา เช่น ผลิตภัณฑ์ CBD เด่น ผลิตภัณฑ์ THC เด่น ผลิตภัณฑ์ THC : CBD 1 : 1 ขององค์การเภสัชกรรม ผลิตภัณฑ์ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสม และผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชาตำรับหมอพื้นบ้าน ขณะที่พ.ร.บ.ยาเสพติดฉบับใหม่ ที่จะปลอดล็อกในหลายๆเรื่อง ผ่านคณะรัฐมนตรี(ครม.)อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและส่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป หากพ.ร.บ.ผ่านสภา ก็ไม่ต้องถามหาการปลูก กัญชา 6 ต้นอีก เพราะจะปลูกกี่ต้นก็ได้หากมีการขออนุญาตปลูกอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์เป็นไปตามกฎหมายโดยผู้รับผิดชอบหลัก โดยผู้รับผิดชอบหลัก คือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
"นโยบายเรื่องกัญชาเสรีเป็นสิ่งที่ต้องทำเพราะเป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตามก็ต้องให้เกิดความมั่นใจเรื่องของวัตถุประสงค์เจตนารมณ์ก็คือเรื่องการที่ทำให้เป็นยารักษาโรค ผลิตภัณฑ์ที่จะได้จากสารสกัดจากกัญชา นำไปทำอุตสาหกรรมต่างๆได้ เกิดประโยชน์ต่อการสร้างรายได้ของพี่น้องประชาชนไม่มีส่วนใดเลยที่จะไปสนับสนุนให้เกิดการทำสารสกัดกัญชาในทางที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือเป็นเรื่องของสิ่งเสพติดหรือทำให้เกิดการสันทนาการที่นอกเหนือการควบคุม"นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ หากผ่านระยะที่2กึ่งอุตสาหกรรมแล้ว ระยะต่อไป อภ.จะผลิตในระดับอุตสาหกรรม ขยายการปลูกกัญชาทางการแพทย์ โดยมุ่งเน้นความร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชน องค์กร หน่วยงานอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตสารสกัดให้มากขึ้น และพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาจากสารสกัดกัญชาให้มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด ครีม แผ่นแปะ ยาเหน็บ แคปซูลเจล เพื่อให้แพทย์สามารถเลือกใช้ยาในรูปแบบต่างๆ ให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา