โอกาสทองของ 'หนังไทย' ในยุค 'โควิด-19'

ตรวจสอบความสำเร็จของภาพยนตร์ ‘มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ’ ของค่าย เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ที่กำลังทำรายได้มุ่งสู่ 50 ล้าน ในยุคโควิดครองเมือง ตอกย้ำว่า 'ยุครุ่งเรือง' ของหนังไทยกำลังจะกลับมา
ถึงแม้รัฐบาลจะประกาศมาตรการผ่อนคลายการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยการอนุญาตให้โรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการได้ตามปรกติภายใต้เงื่อนไขของการรักษาระยะห่างทางสังคม (social distancing) และการรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด แต่บรรยากาศตามโรงภาพยนตร์ก็ไม่คึกคักเท่าที่ควร มีผู้ตีตั๋วเข้าไปดูหนังในโรงกันบางตาจนทำให้หลายฝ่ายอดคิดไม่ได้ว่า
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยจะรอดพ้นจากการ ‘ติดโควิด-19’ ครั้งนี้ไปได้หรือไม่?
แต่บุคคลระดับผู้บริหารของวงการภาพยนตร์ท่านหนึ่งกลับมีความคิดเห็นสวนทาง โดยมีทั้งความหวัง และความมั่นใจว่า ไวรัสโควิด-19 จะทำให้หนังไทยกลับมาผงาด และมีความสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้านเราที่ในอดีตพึ่งพาหนังต่างประเทศมาโดยตลอด
ท่านผู้นั้นคือ คุณปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาดูแลโปรเจคท์ภาพยนตร์เรื่อง ‘มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไทยท้องถิ่น ที่มุ่งเน้นกลุ่มคนดูที่ภาคใต้เป็นหลัก สามารถทำรายได้ทั่วประเทศมุ่งสู่ 50 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อย และสามารถสร้างปรากฎการณ์ ‘โรงแตก’ ที่ภาคใต้ทุกจังหวัดให้เกิดขึ้นได้ในช่วงโควิด-19 แบบนี้ บนมาตรการ Social Distancing
ก่อนหน้านี้คุณนก – ปัญชลีย์ รับหน้าที่ดูแลเรื่องบิสสิเนส พาร์ทเนอร์ และสปอนเซอร์ชิปเป็นหลัก ก่อนจะเข้ามาดูแลการผลิตคอนเทนต์ภาพยนตร์ไทยของบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2562 และเล็งเห็นว่าโปรเจคท์ ‘มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ’ น่าจะปั้นให้ประสบความสำเร็จได้ผ่านมุมมองในการทำหนังไทยของเธอที่ว่า “ผลิตคอนเทนต์เพื่อตอบโจทย์คนที่อยากดู มากกว่าจะผลิตคอนเทนต์ที่เราอยากทำ”
“พฤติกรรมของคนในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไป มีความวาไรตี้มากขึ้น โดยเฉพาะเอนเตอร์เทนเมนต์มันมีความบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ ที่เข้ามาเร็วมาก มาแบ่งเวลาไป เราจึงต้องคิดใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำ แล้ววิธีคิดของพี่คือ เราต้องผลิตภาพยนตร์หรือคอนเทนต์ที่คนอยากดู มากกว่าเราอยากทำ”
ความสำเร็จของภาพยนตร์ ‘มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ’ ที่สามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาในแง่ของ ‘หนังที่สามารถทำรายได้มุ่งสู่ 50 ล้าน ภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ในยุคโควิด-19 แพร่ระบาด’ นั้น ปัญชลีย์ กล่าวว่า เกิดจากการเล็งเห็นถึง ‘อิทธิพลทางโซเชียล มีเดีย’ ของ ‘เจนนี่-ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ศิลปินอินดี้ลูกทุ่งเจ้าของเพลงฮิตยอดวิว 340 ล้านอย่าง ‘เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว’ ว่าเป็นสิ่งที่ทรงพลัง และสามารถเข้าถึงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการมีบทภาพยนตร์ที่เข้าถึงใจผู้ชมทางภาคใต้ที่แข็งแรง จากผู้กำกับที่เป็นคนถิ่นใต้
“น้องนักแสดงทั้งสองคนนี้ มีคนอยากดูเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ไปออกเกมโชว์ หรือทอล์คโชว์ คนก็ติดตามดูอยู่เป็นจำนวนมากและเป็นที่รักของผู้ชม ดังนั้น เรามีความเชื่อว่า ถ้ามีคอนเทนต์ภาพยนตร์ของพี่น้องสองคนนี้ออกมา คนก็น่าจะติดตามดูเช่นกัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำโปรเจคนี้”
ไม่ใช่แค่นักร้องลูกทุ่งยอดนิยมอย่าง ‘เจนนี่-ลิลลี่’ เท่านั้น แต่ภาพยนตร์ ‘มนต์รักดอกผักบุ้งฯ’ ยังได้ ‘เอกชัย ศรีวิชัย’ ผู้ที่รู้ลึกรู้จริง เข้าใจวิถีชีวิต และรสนิยมของคนดูหนังทางภาคใต้มานั่งแท่นผู้กำกับ ทำให้สัปดาห์แรกที่เข้าฉาย เกิดปรากฎการณ์เต็มทุกรอบทุกโรงหนังในภาคใต้ มีคนเหมารถกระบะออกจากสวนยางกันทั้งหมู่บ้าน เข้ามาดูหนัง และซื้อตั๋วหนังกันเต็มทุกที่นั่งจนต้องเทโรงภาพยนตร์ให้
แล้วความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง ‘มนต์รักดอกผักบุ้งฯ’ นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ เชื่อมั่นในมุมมองของเธอ
“มันทำให้เราเห็นว่าสิ่งที่เรา forecast ว่าการทำหนังที่คนอยากดูมันตอบโจทย์ แล้วสุดท้ายกระแสโควิดทำอะไรเราไม่ได้เลย ประกอบกับการที่เปิดโรงหนังได้แล้วแปลว่ามีมาตราการที่ปลอดภัยแล้ว คนเชื่อมั่นแล้ว พอเรามีหนังเรื่องนี้ออกมาคนใต้ก็ออกจากบ้านมาดูหนังกัน”
‘โอกาสทอง’ ของหนังไทยมาถึงแล้ว
‘ทุกวิกฤติมีโอกาส’ เช่นเดียวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ กล่าวว่ามีทั้งบวกและลบ สำหรับสิ่งที่เธอได้จากโควิดก็คือ ทำให้เกิดการตื่นตัว เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์เรามักจะชอบมองออกไปข้างนอกจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว แต่โควิดทำให้เราหันกลับมาทบทวน และเห็นความสำคัญของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะหนังไทย แต่ยังรวมไปถึงหลายภาคส่วน อาทิ การท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งมีคุณค่าและมีสถานที่สวยงามมากมาย
“พี่เชื่อว่าเรามีบทหนังไทยดี ๆ อยู่อีกเยอะมากที่อยู่ในสต็อก อยู่ในความคิด อยู่ในลิ้นชักที่ยังไม่ถูกหยิบออกมา ตอนนี้เวทีเปิดกว้างแล้ว คุณมีของดีเอาออกมาเลย ต่างประเทศมีปัญหาโควิด ฉายหนังไม่ได้ ทำหนังไม่ได้ วันนี้แหละเราจะมาเอ็นจอยการทำหนังไทยกัน เปรียบเสมือนการทำให้เป็นอาหารที่อร่อยขึ้น คุณภาพดีขึ้น มันเป็นอาหาร เป็นหนังที่เราถูกปากคุ้นชินอยู่แล้ว แค่รีเสิร์ชให้เจอว่าคนอยากดูอะไร คนกรุงเทพชอบดูอะไร คนภูมิภาคชอบหนังแบบไหน สุดท้ายแล้วหนังไทยก็เหมือนอาหารไทยที่ยังไงคนไทยก็ยังชอบอยู่”
ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ ในฐานะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผลิตหนังไทยออกมามากที่สุด ยังกล่าวด้วยว่า ในปี 2563 นี้ เธอมีภารกิจใหม่เพิ่มเข้ามา นั่นคือ การเปิดรับบุคลากรทุกภาคส่วนที่อยู่ในกระบวนการทำหนังให้มาสร้างภาพยนตร์ร่วมกับทางเอ็ม พิคเจอร์ส
“ตั้งแต่วันนี้เราเปิดกว้างให้ทุกคนที่มีความฝัน มีไอเดียในการทำโปรเจคท์หนังดี ๆ เดินเข้ามาหา เราจะจับมือสร้างภาพยนตร์ที่ดีไปด้วยกัน ปรากฎการณ์ ‘มนต์รักดอกผักบุ้งฯ’ ได้ยืนยันแล้วว่าการระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ทำให้คนดูไม่มั่นใจ เพราะทางโรงภาพยนตร์มีมาตรการความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม เมื่อทำภาพยนตร์ที่เค้าอยากดู ยังไงเค้าก็แห่ออกมา นี่คือสิ่งที่พี่อยากจะให้กำลังใจคนทำหนังว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีแล้ว”
‘ศิลปะวัฒนธรรมไทย’ ไม่แพ้ชาติใดในโลก……หนังไทยก็เช่นกัน
ปัญชลีย์ได้เดินหน้าแผนการนี้ไปแล้วกับโครงการประกวดเขียนพล็อตหนัง ‘MAJOR WRITER CONTEST’ ที่เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดชิงรางวัลมูลค่าเรื่องละ 30,000 บาท ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ซึ่งการตอบรับเกินคาดหมาย มีคนส่งพล๊อตหนังเข้ามาเกือบ 1,500 เรื่อง ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนที่เปิดรับสมัคร
“เป็นปรากฎการณ์ที่รู้สึกดีใจมาก ว่าเรามีทรัพยากร มีไอเดียความคิดเยอะมาก เพียงแต่พวกเขารอเวทีที่จะส่งเข้ามาเท่านั้น แล้วพอนั่งลงอ่านพล๊อตที่ส่งเข้ามาก็พบว่ามีเรื่องดี ๆ อยู่มากมายและตัดสินเลือกยากมาก ซึ่งเราต้องคัดให้ได้ผู้เข้ารอบมาประมาณ 10 กว่าเรื่อง” ปัญชลีย์ กล่าว โดยพล็อตเรื่องที่ได้จากการประกวดเหล่านี้จะกลายเป็น “บิ๊กไอเดีย” ให้นำไปต่อยอดเพื่อผลิตภาพยนตร์ต่อไป
นอกเหนือจากกระแสตอบรับอย่างล้นหลามแล้ว สิ่งที่ทำให้ปัญชลีย์เซอร์ไพรส์ไม่น้อยคือการที่มีเด็กอายุ 13-14 ปี ส่งพล๊อตหนังเข้ามาประกวดกันมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยเรามีทรัพยากรบุคคลที่รักและสนใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในงานด้านการผลิตภาพยนตร์อยู่ไม่น้อย และหลากหลาย
“งานศิลปะคนไทยไม่แพ้ชาติไหนในโลก ไม่งั้นเราคงทำอาหารไม่อร่อย อาหารไทยไม่ดังไปทั่วหรอก พี่คิดว่าถ้าคนที่มีไอเดียเริ่มมีเวทีแสดงออก เริ่มมีโอกาสที่เราเปิดประตูรับทุกคนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพยนตร์ร่วมกัน พี่เชื่อว่าไอเดียความเป็นอาร์ตของคนไทยมันสามารถสร้างสรรค์และสนับสนุนให้สำเร็จได้”
ปัญชลีย์ย้ำว่าหนังไทยยังมีโอกาสเติบโตสูงมาก เห็นได้จากการขยายสาขาโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่องจนเกือบครบทุกจังหวัดแล้ว โดยในประเทศไทย โรงภาพยนตร์ทุกเครือรวมกันมีมากกว่า 1,000 โรงแล้ว ถ้าเราจริงจังสามารถทำหนังไทยที่คนอยากดูได้เหมือนหนังบล๊อกบัสเตอร์ โอกาสทำรายได้ทั่วประเทศในวันเดียว 50-100 ล้านบาทของหนังไทยในอนาคต ก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก
ส่วนในเรื่องที่ว่าการมาถึงของแพลตฟอร์มความบันเทิงแบบสตรีมมิ่งจะทำให้คนดูหนังโรงกันน้อยลงหรือไม่นั้น ปัญชลีย์ตอบอย่างหนักแน่นว่า “ไม่น่าจะจริง” เพราะความต้องการดูภาพยนตร์ไทยยังมีอยู่ เพียงแต่คนรอเวลา รอดูหนังที่เขาอยากจะดูอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าช่วงที่โรงหนังกลับมาเปิดให้บริการยังไม่มีคอนเทนต์ใหม่ ๆ ดึงให้คนกลับมาเข้าโรงดูหนัง
“แต่ถ้าคอนเทนต์โดนใจเมื่อไร ปรากฎการณ์ มนต์รักดอกผักบุ้งฯ ภาพยนตร์ไทยท้องถิ่นใต้มันบอกแล้ว ปรากฎการณ์นี้มันยืนยันแล้วว่า คนใต้รอหนังที่เขาอยากจะดูอยู่ และยังได้รับโอกาสจากคนในภาคอื่นๆที่ออกมาดูหนังเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสิ้นกว่า 500,000 คนแล้ว ถึงอย่างไรคนก็มีความชื่นชอบในการดูหนังในโรงภาพยนตร์อยู่ดี”
เวทีเปิดกว้างสำหรับคนทำหนัง
ปัญชลีย์กล่าวว่า เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เปิดรับบุคคลากรทุกภาคส่วนที่อยู่ในกระบวนการทำหนัง หรือแม้แต่คนทำซีรีส์ และคนทำหนังโฆษณาก็ตาม
“วันนี้มีคนทำซีรีส์เดินเข้ามาหาเราเยอะมากเพราะเขาเห็นโอกาสในการนำซีรีส์ไปต่อยอดเป็นภาพยนตร์ เพราะคอนเทนต์มันสามารถอยู่ได้ทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งพี่ก็สร้างความมั่นใจให้ทุกคนได้ว่าคุณไม่ต้องกลัวเพราะวันนี้ สถานการณ์แบบนี้ มันทำให้เรามีพื้นที่ในการฟีดคอนเทนต์ภาพยนตร์ไทยเยอะขึ้น ด้วยความที่คอนเทนต์ฝรั่งเปิดกล้องไม่ได้ และหนังยังไม่สามารถเข้าฉาย
พี่เชื่อว่าทุกคนจะสนุกแน่ นับจากวันนี้ไป ปีหน้าจะสนุกแน่เพราะเป็นปีที่คนจะได้ดูหนังไทยที่หลากหลาย แล้วของดี ๆ จะถูกดึงออกจากลิ้นชักมาโชว์กันเยอะมากแน่นอน”
ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวทิ้งท้ายว่าเธออยากจะให้กำลังใจคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ให้ทุกคนมีความหวังกับหนังไทย และกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้
“เราเห็นว่าโอกาสทองของหนังไทยมันมาแล้ว คนทำหนังทุกคนต้องรวมพลังกัน เราเปิดประตูกว้างต้อนรับทุกคนที่เดินมาหา เปิดรับทุกคนที่อยู่ในกระบวนการสร้างภาพยนตร์ คุณอยู่ในพาร์ทของการเขียนบทภาพยนตร์เราก็จัดประกวดแล้ว ต่อให้คุณไม่ได้เข้าโครงการประกวด แต่ถ้ามีบทหนังอยู่แล้วก็เดินมาเลยค่ะ เราเวลคั่มมาก ๆ
หรือคุณเป็นผู้กำกับหนัง ไม่มีบทก็เดินมา คุณถนัดกำกับอะไร แอคชั่น ดรามา ไฮคอนเซปท์ อินดี้ ฯลฯ ขอแค่เดินเข้ามา หรือคุณเป็นโปรดิวเซอร์ คุณก็เดินมา เราจะช่วยกันผลักดันให้เกิด คอนเท้นต์ ที่มีคุณภาพ และ สร้างภาพยนตร์ที่คนอยากดูให้ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน”




