คลอดแล้ว! ทายาทเด็กหลอดแก้วคนแรกของไทย

คลอดแล้ว! ทายาทเด็กหลอดแก้วคนแรกของไทย

รพ.จุฬาฯ เผยทายาทเด็กหลอดแก้วคนแรกคลอดแข็งแรงสมบูรณ์ ชี้เป็นบทพิสูจน์เด็กเกิดจากเทคโนโลยี ปลอดภัย มีชีวิตปกติ สามารถเจริญพันธุ์ได้ตามธรรมชาติ

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.61 รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าว "ทายาทเด็กหลอดแก้วคนแรกของไทย" นายปวรวิชญ์ ศรีสหบุรี หรือมุ้งมิ้ง เด็กหลอดแก้วคนแรกของประเทศไทย ที่ถือกำเนิดเมื่อปี 2530 ปัจจุบัน อายุ 31 ปี กล่าวว่า บุตรชายของตนคลอดได้ 2 วันมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีทั้งแม่และลูก น้ำหนักตัวแรกคลอด 3,223 กิโลกรัม ซึ่งในช่วงวางแผนที่จะมีบุตรมีความกังวลเล็กน้อยว่าจะสามารถมีบุตรได้หรือไม่ เนื่องจากตนเองเกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ แต่เมื่อตัดสินใจจะมีบุตรจึงใช้วิธีธรรมชาติ ตั้งใจว่าหากไม่สามารถมีได้จึงจะปรึกษาแพทย์ แต่ใช้เวลาไม่นานภรรยาก็ตั้งครรภ์สำเร็จด้วยวิธีธรรมชาติ

นายปวรวิชญ์ บอกด้วยว่า ตลอดช่วงอายุ 30 ปีที่ผ่านมา สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป หากไม่บอกก็จะไม่มีใครทราบว่าตนเป็นเด็กหลอดแก้ว เพื่อนบางคนก็ไม่ทราบ แม้แต่ภรรยาก็ไม่ทราบจนคบหาดูใจได้ 3 ปีจึงจะทราบ ด้านสุขภาพไม่มีปัญหาอะไร แข็งแรงดี สามารถเรียนจนสำเร็จปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯและปริญญาโทจากต่างประเทศ ปัจจุบันทำงานเป็นวิศวกร ซึ่งจาการที่ตนใช้ชีวิตมา30กว่าปีจนถึงปัจจุบันที่มีลูกด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เด็กที่กำเนิดมาจากเทคโนโลนีช่วยการเจริญพันธุ์สามารถดำรงชีวิตได้ปกติ

697752

รศ.นพ. บุญชัย เอื้อไพโรจน์กิจ หัวหน้าสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ฝ่ายสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ทารกรายนี้อาจมีความจำเพาะประการหนึ่งที่คุณพ่อได้กำเนิดมาด้วยกระบวนการเด็กหลอดแก้วเป็นรายแรกของไทย จึงต้องให้การเฝ้าระวังเป็นกรณีพิเศษ และได้ตรวจโครงสร้างทารกในครรภ์ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงในระดับละเอียด และตรวจกรองทารกดาวน์ ด้วยวิธีตรวจ DNA ของทารก ในกระแสเลือดของมารดา ซึ่งพบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ได้ตรวจติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์ด้วยวิธีต่างๆ เช่น การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจโครงสร้างของทารกในครรภ์ และประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์มารดา จนมั่นใจว่าทารกมีความมีสุขภาพแข็งแรง และพร้อมเข้าสู่ขั้นตอนการเจ็บครรภ์คลอดและการคลอดแบบธรรมชาติได้ จนให้กำเนิดทารกเพศชาย มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

รศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ อาจาย์ฝ่ายสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า การที่เด็กหลอดแก้วคนแรกของประเทศไทยสามารถให้กำเนิดทายาทด้วยวิธีการธรรมชาติ และเด็กมีความแข็งแรงสมบูรณ์ดี เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการเจริญพันธุ์ใช้ได้ผล มีความปลอดภัย และผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมีความแข็งแรงทั้งกายและใจ ลบข้อกังวลในอดีตที่เด็กเกิดมาภายใต้เครื่องหมายคำถามว่าจะเป็นอย่างไร จะทำให้ได้มนุษย์พันธุ์ใหม่หรือไม่ แต่ปัจจุบันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนมั่นใจว่าการใช้เทคโนโลยีมีการพัฒนาและสามารถไว้วางใจได้ว่ากระบวนการมีความมั่นคงและปลอดภัย

"การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ บางประเทศมีคนที่เกิดจากวิธีการนี้ถึง 6% ถือเป็นอัตราที่มาก ปัจจุบันทั่วโลกคาดว่ามีคนมี่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีช่วยราว 7 ล้านคน ในประเทศไทยมีกว่า 20,000 คน จึงจะต้องให้ทุกกลุ่มที่มีความมจำเป็นเข้าถึงบริการการรักษาในเรื่องนี้ โดยแต่ละกลุ่มประชากรอาจมีข้อบ่งชี้ที่แตกต่งกัน อาทิ กลุ่มผู้มีบุตรยาก กลุ่มคนโสดที่มีการแต่งงานช้า อายุใกล้ 40 ปีที่โอกาสในการมีบุตรน้อยลง หรือกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่มีอายุน้อย เมื่อได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรักษาอาจะทำให้ไข่ถูกทำลายไม่สามารถมีบุตรได้ ก็อาจจะมีการแช่แข็งไข่ หรือเนื้อเยื่อรังไข่ไว้ก่อนทำการรักษา เมื่อหายจากมะเร็งแล้วอยากจะมีบุตรก็สามารถทำได้ เป็นต้น" รศ.นพ.กำธร กล่าว

รศ.นพ.กำธร กล่าวอีกว่า ขณะนี้หลายประเทศบรรจุเรื่องการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ไว้ในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแล้ว เพราะเผชิญปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ การนำเทคโนโลยีด้านนี้เข้ามาช่วยเหลือจึงมีความจำเป็น ในกรณีผู้มีความพร้อมที่จะมีบุตรแต่ไม่สามารถมีบุตรได้ด้วยวิธีการตามธรรมชาติ ซึ่งเริ่มมีการหารือในองค์การอนามัยโลกหรือฮูที่จะนำเรื่องนี้มาเป็นสิทธิประโยชน์พื้นฐานเช่นเดียวกับการรักษาอื่นๆ ในส่วนของประเทศก็ควรบรรจุสิทธิประโยชน์นี้ด้วย เนื่องจากกำลังเผชิญกับอัตราการเกิดทดแทนประชากรที่ต่ำอยู่ที่ 1.5 เท่านั้น ขณะที่ฮูแนะนำจะต้องอยู่ที่ 2.1 ส่วนประเทศอื่นที่เผชิญปัญหานี้ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆก็บรรจุไว้ในสิทธิประโยชน์ระบบประกันสูขภาพแล้ว ซึ่งหากจะดำเนินการก็จะต้องมีเกณฑ์การพิจารณาอย่างรอบคอบ ให้สิทธิ์เฉพาะผู้ที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่ามีความจำเป็นเท่านั้น ซึ่งการวางแผนครอบครัวต้องมีการปรับแนวคิดไม่ใช่แค่เรื่องการคุมกำเนิดอย่างเดียว แต่จะต้องพิจารณาในคนที่พร้อมต้องช่วยให้เขามีบุตรด้วย