ชาญศิลป์ ตรีนุชกร บริหารชีวิตแบบซีอีโอ ปตท.
วิธีคิดในการบริหารชีวิต ครอบครัว และไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของซีอีโอ ปตท.
“ผมจะพาองค์กรเดินไปสู่โอกาสและความท้าทาย ถ้าทำได้และทำได้ดี นี่จะเป็นสิ่งที่ผมมีความสุขที่สุด ส่วนความสุขส่วนตัวผมไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการที่ครอบครัวมีความสุข สงบ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ มีอิสระ มีร่างกายที่แข็งแรงเพียงเท่านั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องบริหารความอยากของตัวเอง มันสำคัญมากเลยนะ” ชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บอกตอนหนึ่งระหว่างการสัมภาษณ์
ช่วงเวลาของการสรรหาซีอีโอคนใหม่ของปตท. เรามักเห็นข่าวทำนองนี้ตามหน้าสื่ออยู่เสมอ เช่นเดียวกับภารกิจใหญ่ในการสร้างความมั่นคง การแสวงหาโอกาสลงทุนและสร้างความเติบโตด้านพลังงานให้กับประเทศ ในฐานะองค์กรพลังงานของชาติ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นงานอันท้าทายสำหรับผู้บริหารแถวหน้าหลายคน แต่ถึงเช่นนั้นว่ากันตามจริงก็มีน้อยคนที่ได้สัมผัส
ผลประกอบการ แผนการลงทุนในธุรกิจ เราคงได้ยินมาบ้าง แต่วิธีคิดในการบริหารชีวิต ครอบครัว และไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของซีอีโอ ปตท.คนนี้เป็นอย่างไร ถ้อยคำต่อจากนี้น่าจะอธิบายได้มากขึ้น
ทราบมาว่าคุณชาญศิลป์อยู่ปตท.มา 36 ปี เริ่มตั้งแต่การเป็นเศรษฐกรทำงานจนเป็นผู้บริหาร อะไรที่ทำให้อยู่องค์กรหนึ่งในนานขนาดนี้
ต้องเล่าก่อนว่า ตั้งแต่เรียนจบเศรษฐศาสตร์ ผมหางานมาหลายที่ ทั้งธนาคาร ปูนซีเมนต์ไทย การบินไทย องค์การโทรศัพท์ และองค์กรชั้นนำหลายแห่ง แต่ไม่มีใครรับผมเลย ผมเดินรองเท้าสึกไปคู่หนึ่ง มีองค์กรเดียวที่รับผมคือ ปตท. เราจึงได้มีโอกาสทำงานเลี้ยงชีพ แม้จะเงินเดือนไม่มาก แต่ก็รู้สึกเสมอว่าองค์กรแห่งนี้มีบุญคุณ
แล้วผมก็โชคดีที่ได้เปลี่ยนหน้างานมาตลอด และการเปลี่ยนสายงานทำให้เรามีเรื่องใหม่ๆ มาตลอด ตั้งแต่เป็นเศรษฐกร เป็นผู้แทนขายน้ำมันให้กับอุตสาหกรรม รวมทั้งตลาดน้ำมันเครื่องบินและเรือเดินสมุทร กับองค์กรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ต้องเจอคู่แข่งระดับใหญ่ๆ ของโลก ตรงนี้ทำให้ผมสะสมความสามารถในการ Negotiate (การต่อรอง, การหาจุดร่วม) การขายความคิดให้คู่ค้าเชื่อใจ กระทั่งเมื่อเขาตกลงซื้อแล้วเรายังต้องดูแลลูกค้าที่ใช้น้ำมันจากเรา ผมยังเคยมีส่วนร่วมในการปลุกปั้นแบรนด์คาเฟ่อเมซอนในช่วงล้มลุกคลุกคลาน ผมอยู่ในปตท. มา 36 ปี ได้รับการเปลี่ยนแปลงรวมแล้ว 19 ตำแหน่ง เป็นกรรมการมา 16 บริษัท เป็นประธานกรรมการมา 5 บริษัท และงานทั้งหมดที่ว่าได้ช่วยให้เราสะสมความสามารถ ให้ประสบการณ์ในการเดินทางที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ที่นี่จึงเป็นองค์กรที่ทำให้ผมได้พัฒนาความสามารถ ช่วยประเทืองปัญญาอยู่เสมอ
ถ้าถามว่าทำไมอยู่ทน มีบ้างเหมือนกันนะ ที่บางช่วงรู้สึกน้อยใจ รู้สึกไม่เป็นธรรม เราเป็นผู้แทนขายดีเด่นแต่กลับไมได้รับการโปรโมต แต่เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเข้ามาเตือน ท่านบอกว่า “ถ้าคุณลาออกวันนี้นะ พรุ่งนี้เขาก็หาคนมาแทนคุณได้ทันทีเลย” แล้วอีกอย่างเราก็มีครอบครัวต้องดูแลจึงอดทนเรื่อยมา และเปลี่ยนความไม่แน่นอนเป็นความคิดในแง่บวก เช่น ตอนผมถูกย้ายมาเป็นผู้แทนส่วนธุรการก็ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน ก็ถือว่าช่วงเวลานั้นเราได้มีเวลามากขึ้น ได้ออกกำลังกาย ช่วงนั้นผมเลยมีลูกได้ ทั้งๆ ที่แต่งงานมาแล้ว 6 ปี มันจึงเป็นโอกาสในวิกฤติ ช่วงเวลาที่ไม่ดีนักก็ช่วยสอนทักษะเราที่ไม่เคยมี เช่น ทักษะในสำนักงาน การสื่อสาร ภาษา สอนให้อดทนต่อความไม่นอน ได้เจอผู้คนในแผนกต่างๆ ในองค์กรมากขึ้น
ถ้ามีบัณฑิตสักคนที่เรียนจบใหม่และอยากเติบโตในองค์กรเดียวเหมือนคุณชาญศิลป์ อะไรคือสิ่งที่เขาต้องเข้าใจ
ไม่ใช่โมเดลที่จะเลียนแบบได้ มันคนละแบบกัน วิธีนี้ไม่ได้การันตีว่าผลที่ได้จะเหมือนกัน ผมว่าผมเห็นชีวิตมาเยอะนะ ผมไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีอะไร การศึกษาของพ่อแม่ก็ไม่ได้สูงมาก แล้วทุกคนก็ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่เคยคิดว่าจะมาถึงวันนี้ ในอดีตคิดแค่เพียงวันนี้จะมีเงิน เพื่อจ่ายค่าหอพัก ค่าข้าว มีค่าที่จะผ่อนบ้านหรือไม่ บ้านผมยังต้องกู้สวัสดิการจาก ปตท. ผมคิดอย่างเดียวคือการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วมีเท่าไรก็ใช้ให้เพียงพอ มีความสุขกับมัน
ความโชคดีคือผมมาอยู่กับบริษัทที่ดี มีแต่คนเก่ง เราเหมือนเมล็ดพันธุ์ตกในผืนดินที่ดี ตอนนั้นผมคาดหวังว่าถ้าได้เป็นผู้จัดการส่วนก็สุดยอดแล้ว ความคาดหวังผมไม่ได้มากเกินเลย มันเลยไม่เหนื่อย เพราะถ้าคาดหวังมากกว่านั้นคงจะแสวงหา ย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ ที่พอจะเป็นแบบอย่างในกรณีของผมได้คือเรื่องประหยัด พอเพียง ขยัน ที่สำคัญคือการปรับตัว ผมคิดว่าในโลกทุกคนคือเพื่อนมนุษย์เหมือนกันหมด ไม่ได้คิดว่ามีหัวโขนอะไรมากมาย หากเราคาดหวังอย่างเหมาะสม ชีวิตมันก็จะพอดี หากเราไม่ได้มีความสามารถแล้วไปคาดหวังอย่างนี้อย่างนั้น มันคงไม่ใช่ กรณีของผมคงไม่เหมือนกับคนอื่น แล้วบรรยากาศของปตท.เมื่อ 40 ปีที่แล้วก็ไม่เหมือนกับปตท.ในวันนี้ วิธีของผมอาจไม่ใช่สูตรสำเร็จของใคร
ทำไม ปตท.ถึงมักเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีคนอยากทำงานด้วยมากที่สุดในผลสำรวจทุกๆ ครั้ง
องค์กรนี้เป็นองค์กรที่ปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เป็นองค์กรที่ยืดหยุ่น รักใคร่ มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน หลายคนมองว่าองค์กรนี้คือบ้าน เราช่วยกันสานต่อวิธีคิดนี้จากรุ่นสู่รุ่น และองค์กรนี้ดูแลผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า, คู่ค้า, ผู้ถือหุ้น, พนักงาน เราใช้หลัก 3 หลักใหญ่ๆ (3P) คือ การพัฒนาคน (people) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (planet) และกำไรจากการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (prosperity) ถ้าไปดูให้ดีกลุ่ม ปตท.จะมีการปรับโครงสร้างอยู่ตลอด โดยเฉพาะสายปิโตรเคมี ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับ-ยุบ-รวมเพื่อให้มีโอกาสในการแสวงหาสิ่งใหม่ มีสถาบันเพื่อพัฒนาผู้นำ มีการพัฒนาทักษะพนักงานอยู่เสมอ คนที่อยากเข้าทำงานในปตท.คงเห็นในสิ่งนี้
ทุกวันนี้ คำว่า Disruption คือสิ่งที่เจอในทุกวงการ คุณช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าองค์กรที่ดูมั่นคงอย่างปตท.เจอกับอะไรบ้าง และมีวิธีรับมืออย่างไร
การเปลี่ยนแปลงมันมีอยู่ตลอดเวลา แล้วก็กระทบกับเราเสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เหตุการณ์ที่เห็นเป็นตัวอย่างชัดที่สุดคือการที่ผู้ผลิตไฟฟ้าไม่ใช้น้ำมันเตาจากเราในการผลิตแล้ว หรือในกรณีที่เทรนด์ของโลกคือการลดใช้พลาสติก เช่นเดียวกับแนวโน้มของการใช้ไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ซึ่งจะกระทบกับน้ำมันเบนซิน
เราห้ามการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ และประเมินอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้จะมาเมื่อไร อย่างไร และจะแก้ไขอย่างไรในระยะสั้น กลาง ยาว หลายเรื่องเราดำเนินการอยู่ แน่นอนเราขยายไปยังธุรกิจใหม่ที่มีความต้องการของตลาด ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ
เราไม่เรียกความเปลี่ยนแปลงนั้นว่าปัญหา เพราะบางอย่างมันคือโอกาส เช่น บางเรื่องมันเป็นประโยชน์ของเรา คนที่ทำเรื่องแก๊ส ปิโตรเคมี เขาก็ยังทำไป ขณะเดียวกันบอร์ดก็อนุมัติให้เรามีแผนในเรื่องการพัฒนา AI ทำหุ่นยนต์ เราทำสิ่งใหม่ๆ มาแล้วมาหลายเรื่อง ทำอยู่ตลอด เช่น เราทำระบบตัวที่สามารถบอกได้ว่า โรงงานเราจะชัตดาวน์เมื่อใด เรารู้ก่อนล่วงหน้าแล้วก็หาทางซ่อมแซม แก้ไขมัน เรามีระบบทดแทนกำลังคนที่ไปตรวจสอบระบบของการป้องกันสนิมในท่อแก๊สธรรมชาติที่มีระยะ 2,000 กิโลเมตร เราร่วมมือในการผลิตหุ่นยนต์ เครื่องบินโดรน เรามีระบบวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าจากพฤติกรรมการใช้บัตร เพื่อหาบริการที่หลากหลายเราคิดว่าเราปรับตัวอยู่ตลอดนะ เพราะเราเกิดจากการแข่งขัน ที่สำคัญคือเรามีความกล้าที่จะ Change ไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเสมอ พวกนี้คือสิ่งที่เราก็ทำอยู่
แล้วพนักงานของ ปตท.ที่จะสนองความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ต้องมีคาแรกเตอร์อย่างไร
ต้องเป็นคนเก่งและดี เก่งหมายถึง คุณเชี่ยวชาญในสายงานอาชีพของคุณ ทั้งวิศวกรรม ไฟแนนซ์ สื่อสารมวลชน กฎหมาย นั่นคือเก่งในทางที่คุณเป็นและต้องเป็นคนดี คือเอาความเก่งมาสร้างผลงานที่ดีได้ และต้องปรับตัว มีความสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ บางคนเป็นคนยุคเบบี้ บูมเบอร์ (Baby boomer), เจนเอ็กซ์ฯ (Generation X) ไม่มีสกิลดิจิทัลเขาก็ต้องเรียนรู้เพิ่ม คาแรกเตอร์ของเราน่าจะแบบวัยกลางคน ที่มีความสมาร์ทแต่รวดเร็ว ทันสมัย ถ้าแบบเป็นดาราก็คงไม่ใช่วัยรุ่นซะทีเดียว แต่เป็นกลางเก่ากลางใหม่
บริหารอย่างไรในองค์กรที่มีผู้คนในหลายเจเนอเรชั่นแบบนี้
ต้องยอมรับว่าการได้มาของคนขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงเวลา แต่ถ้าเกิดอยู่ในองค์กรรวมแล้ว เราก็ต้องมี DNA เดียวกัน มองภาพใหญ่ในภาพเดียวกัน จะมองตัวเองเป็นหลักคงไม่ได้ เราเปิดโอกาสให้คนแต่ละเจนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่ตนเองยังไม่ชำนาญอยู่เสมอ เพื่อผลักดันให้การทำงาน ทั้งสายงานการผลิต การขาย การตลาด มีมาตรฐานระดับสากลให้ได้ และเราก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้คิดสิ่งใหม่ๆ ใช้ Innovation ในการทำงาน
กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ หรือเจนเอ็กซ์ ก็คอมเมนต์เด็กเจนวาย (Generation Y) ได้อย่างสร้างสรรค์ ช่วยให้มุมมองที่รอบด้าน แล้วทุกกลุ่มก็มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าคุณเป็นคนเจเนอเรชั่นไหนไม่สำคัญเท่าเราจะทำงานร่วมกันอย่างไร ซึ่งถ้าเอาประโยชน์องค์กรเป็นหลัก เวลามีปัญหาขัดกัน เราแก้ได้หมด การจะทำแบบนี้ได้เราคงต้องฝึกทำ และสำคัญคือต้องรักกัน เมื่อคนรักกันก็จะเห็นความแตกต่างเป็นของสวยงาม หาวิธีการที่จะผสานร่วมกันได้และเชื่อใจกัน
ขึ้นชื่อว่าซีอีโอองค์กรชั้นนำน่าจะมีงานที่ซีเรียสมากๆ คุณพักผ่อนหรือหาความสุขอย่างไร
ต้องถามก่อนว่า นิยามความสุขของคุณคืออะไร และความเป็นส่วนตัวอยู่ตรงไหน ถ้าความสุขหมายถึงกินดี อยู่ดี สุขภาพดี สำหรับผมบางครั้งก็ดีบ้าง แย่บ้าง ผมต้องพยายามเอาตัวเองกลับมาให้อยู่ในขอบเขต เช็คร่างกาย ตรวจสุขภาพ ออกกำลังกาย ดูแลตัวเลขต่างๆ ที่คุณหมอแนะนำ ส่วนจิตใจผมสร้างความสุขแบบง่ายๆ ผมมองว่าเริ่มจากคิดดี ทำดี ผมใช้หลักศาสนามาช่วย ถ้ามีปัญหาก็ลองใช้หลักอริยสัจ 4 หรือถ้าคุณต้องการ ความสัมพันธ์กับผู้คนที่ดีก็ใช้พรหมวิหาร 4 อะไรแบบนี้
ทุกวันนี้ผมมีความสุขนะ ความสุขของผมมันอาจจะไม่ได้จำเป็นว่าต้องได้เงินเท่าไร โอเคว่าต้องมีเพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ บางครั้งผมกลับบ้านเห็นลูกนอนอยู่ เดินเข้าไปหอมแก้ม ไปกอดกัน หรือได้โทรศัพท์ถาม “เป็นไง กินข้าวยัง” ผมก็มีความสุขแล้ว เพราะเวลาไม่ค่อยมี บางทีเขาอยู่หอ เราก็กลับดึก
เราดูแลได้ดีที่สุดตามเป้าหมาย ผมชอบพาลูกตระเวนตามภาคต่างๆ พยายามไปประเทศที่พัฒนาแล้ว เพื่อให้เขาดูว่าประเทศที่เจริญแล้วเขาเป็นอย่างไร ผมพยายามทำหน้าที่พ่อให้ครบถ้วน วันนี้ให้เขาเดินเอง ผมมีความสุขกับการได้เห็นสิ่งรอบๆ เติบโตด้วยตัวของตัวเอง ไอ้การที่บอกว่า มีพ่อเป็นซีอีโอ ต้องให้ผมฝากโน้นฝากนี้ผมคงไม่ทำ เพราะวิธีนี้คงไมได้ช่วยให้เขาเติบโตอย่างยั่งยืน
เรื่องอะไรบ้างที่คุณเน้นเสมอเมื่อใช้เวลาอยู่กับลูก
เวลาเราไปเที่ยว ไปกินข้าวด้วยกัน ผมเชื่อว่าเขาซึมซับจากสิ่งที่เราทำ ผมเน้นเรื่องความเป็นธรรม เรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม และต้องมุ่งเป้าไปที่ความชอบความสนใจของตัวเอง เพราะผมเชื่อว่าอะไรที่ทำด้วยความชอบ ความรัก มันจะมีความสุขที่สุด เราพยายามสร้างให้เขาเป็นแบบนี้ บางอย่างเราควบคุมไม่ได้ก็ให้แนวคิด พยายามให้ดูเป็นตัวอย่าง เขาก็เลือกเส้นทางของเขาเอง ลูกผมคนหนึ่งสนใจเรื่องสถาปัตยกรรม อีกคนสนใจเรื่องแพทย์ ก็เป็นเส้นทางที่เขาชอบ เขาเลือก
ตัวผมเองไม่ได้โด่งดังอะไร เพื่อนลูกมาที่บ้านไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ ลูกผมก็ไม่ได้ไปบอกใครว่าพ่อทำงานอะไร ผมใช้เวลาอยู่กับลูกในแบบที่ครอบครัวหนึ่งจะทำให้ดีที่สุด ผมสอนให้ลูกเล่นกีฬา ภรรยาผมก็สอนเรื่องวินัย ทำการบ้าน พยายามสร้างสมดุลซึ่งกันและกัน ผมพยายามจะเฮฮาปาร์ตี้ในบ้านและสร้างแบบอย่างที่ดี ผมเชื่อว่าทุกคนมีเด็กอยู่ในตัวเสมอ ไม่ใช่อายุเยอะเราแก่เลย ถ้าเอาเพื่อนๆ มาเจอกันมันจะพูดภาษาเด็ก ผมสนุกสนานเฮฮาเสมอเมื่ออยู่กับครอบครัว
ทราบว่าคุณชาญศิลป์เป็นนักอ่าน อ่านอะไรบ้าง แล้วหนังสือใดคือเบื้องหลังวิธีคิด
เวลาผมไปต่างประเทศ ทุกประเทศที่ไปผมจะแวะซื้อหนังสือกลับมาตลอด จนทำห้องสมุดไว้ที่บ้าน เพื่อรวบรวมหนังสือดีๆ ไว้ ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีเวลาอ่าน คิดว่าจะอ่านตอนหลังเกษียณแล้ว ที่ชอบก็มีอยู่หลายเล่ม เช่น คู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส ซึ่งอ่านตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว รวมทั้งท่านป.ปยุตโต และท่าน ว.วชิรเมธี หรือแม้แต่แนวคิดดีๆ ของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เช่น ดร.เทียม โชควัฒนา, คุณวิกรม กรมดิษฐ์ แล้วผมก็ชอบที่จะหา Speech ดีๆ ระดับผู้นำ ทั้งพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อดีตประธาธิบดีเนลสัน แมนเดลา ที่ผมชอบมากเลยคือเรื่องพระมหาชนก ท่านสอนเรื่องความอดทน และเตือนว่าอย่ามองแต่เป้าหมายต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
อะไรคือเป้าหมายของซีอีโอ ปตท.ต่อจากนี้
ผมรักและผูกพันกับองค์กรมาก และมากกว่าองค์กรคือชีวิตของผู้คนที่อยู่ในที่นี้ ผมจะใช้เวลาอีก 17 เดือนในตำแหน่งนี้ให้ดีที่สุด พาองค์กรไปในภาวการณ์ต่างๆ ทั้งโอกาสและความท้าทาย และถ้าทำได้ และทำได้ดี นั่นคือความสุขของผม ส่วนความฝันส่วนตัว ผมไม่ได้คาดหวังอะไรในเรื่องของรางวัล มุ่งหวังเพียงแต่ว่ามีครอบครัวที่มีความสุข สงบ อยากทำในสิ่งที่อยากทำ มีอิสระ และถ้ามีโอกาสก็อยากจะบันทึก ถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับเยาวชนคนรุ่นหลังได้ศึกษา
ผมได้เห็นชีวิตเยอะ ผมชอบแนวคิดท่านหลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเคยบอกว่าไม้นี่มันสั้นหรือยาว (ยกแขนขึ้นเป็นท่อนไม้) และคำตอบของคำถามนี้คือมันอยู่ที่ความอยาก ถ้าคุณอยากได้ไม้ที่ยาวก็คิดว่าไม้นี้สั้น (ตีที่แขน) แต่ถ้าคุณอยากได้ไม้ที่สั้นก็คิดว่าไม้นี้ยาวไป มันอยู่ที่ความอยาก ไม่ได้อยู่ที่ไม้ การจัดการกิเลสนี้สำคัญมากเลยนะ และผมมองว่าปัญหาชีวิตของคนส่วนใหญ่มาจากความอยากในเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง