พลังเลโก้ในมือและสมองของ ณฤดี คริสธานินทร์

พลังเลโก้ในมือและสมองของ ณฤดี คริสธานินทร์

เลโก้ ของเล่นชิ้นเล็กที่สามารถเนรมิตรจินตนาการเด็กออกมาได้หลากรูปแบบแล้วยังนำมาใช้กับการวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างไรติดตามจาก 'ณฤดี คริสธานินทร์'

เลโก้ ของเล่นชิ้นเล็กที่สามารถเนรมิตรจินตนาการเด็กออกมาได้หลากรูปแบบแล้วยังนำมาใช้กับการวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างไรติดตามจาก 'ณฤดี คริสธานินทร์' วิทยากรกระบวนการ เลโก้ซีเรียสเพลย์ ที่จะแนะนำให้คุณลองเล่น

'ณฤดี คริสธานินทร์' อดีตพีอาร์ อาจารย์พิเศษ เจ้าของธุรกิจคอนซัลท์ เทรนนิ่ง ยูเรก้า อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ที่ให้ความสำคัญกับการทำเวิร์กช็อปด้วยกระบวนการ เลโก้ซีเรียสเพลย์หลังจากเห็นการใช้เลโก้ของคอนซัลท์แห่งหนึ่งว่า การต่อเลโก้ ไม่ใช่แค่ทำให้รู้สึกสนุกและผ่อนคลาย แต่ยังสามารถคิดออกมาเป็นกลยุทธ์ เพราะการต่อเลโก้ด้วยมือ
จะลิงค์กับสมองกระตุ้นให้เกิดการคิดแก้ไขปัญหา ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับการทำงานขององค์กรต่างๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ ไร้ข้อจำกัดทางความคิด สไตล์พฤติกรรม ภาษา และวัยวุฒิ


หลังจากเรียนรู้เลโก้ซีเรียสเพลย์จากต่างประเทศ เธอ พยายามสร้างชุมชนของวิทยากรกระบวนการ (Facilitator) เลโก้ซีเรียสเพลย์ทั่วโลกเพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกันเพราะ มีรายละเอียดมากจึงต้องมีประสบการณ์ ความมั่นใจ ไม่ใช่แค่นำเลโก้มาต่อเล่น แต่คนทำเวิร์กช็อปต้องคิด วางแผนให้เกิดประสบการณ์ที่ดีที่สุดและได้ผลรับตรงตามที่องค์กรนั้นต้องการ

เลโก้ซีเรียสเพลย์ จึงเหมาะกับการวางแผนกลยุทธ์ เลโก้ซีเรียสเพลย์เป็นกระบวนการที่เลโก้กรุ๊ป ใช้เมื่อ 15 ปีที่แล้วเนื่องจากพฤติกรรมการเล่นของเล่นเปลี่ยนจึงเกิดการระดมสมองกันขึ้นเพื่อแก้ปัญหาแต่คิดได้แบบเดิมๆ ลดต้นทุน ออกไลน์ใหม่ ฯลฯ แต่การแก้ปัญหาแบบเดิมๆไม่สามารถทำให้เลโก้กลับไปสู้กับเกมส์ได้เพราะตลาดเปลี่ยนไปแล้วผู้บริหารเริ่มคิดว่า เลโก้จะเข้ามาช่วยอะไรได้บ้าง จึงดึงศาสตราจารย์สอนธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง มาออกแบบกระบวนการเลโก้ซีเรียสเพลย์สำหรับผู้ใหญ่ ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จ ได้นวัตกรรม ความสัมพันธ์ในทีมดีขึ้นส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพราะทำให้เข้าใจกันมากขึ้น แม้คิดไม่เหมือนกัน


"เราต้องเคารพความคิดที่แตกต่างกันแล้ว คิดหาหนทางทำให้ได้คำตอบใหม่เพื่อแก้ปัญหา จาก95% ของศักยภาพสมองที่ไม่ได้ใช้ออกมา"


ณฤดี เล่าย้อนไปช่วงจุดเปลี่ยนทำให้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตเพื่อใช้ทุนหลังไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น สหรัฐอเมริกาสาขาการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการ เมื่อกลับมารับตำแหน่งรองผู้อำนวยการหลักสูตร ปริญญาโท และเป็นที่ปรึกษาหลักสูตรปริญญาโท ด้านสื่อสารการตลาด แต่เนื่องจากส่วนใหญ่จะไปอยู่กับงานเอกสาร การเตรียมประเมิน เป็นหลัก จึงเลือกที่จะลาออกมาแล้วกลับไปสอนเป็นอาจารย์พิเศษเพื่อโฟกัสกับการสอน ขณะเดียวกันก็มองว่า เป็นจังหวะของการเรียนรู้ ประสบการณ์อื่นอีกรอบหนึ่งเมื่อก้าวสู่ธุรกิจคอนซัลท์ เทรนนิ่ง ทำให้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับซีอีโอ ไดเร็กเตอร์และเอ็มดีของหลายๆองค์กร เพื่อเป้าหมายบางอย่างร่วมกัน ความยากของการทำงาน เธอมองว่า ขึ้นอยู่กับคุณจะยืดหยุ่นได้แค่ไหนมากกว่า เพื่อให้สามารถทำงาน เรียนรู้ และให้คุณค่ากับคนที่ทำงานด้วยส่วนตัวเธอคิดว่าทุกคนเป็นครูซึ่งเมื่อทำคอนซัลท์ เทรนนิ่ง ทำให้เจอกับประสบการณ์ มุมมอง ความรู้ใหม่ๆ มาสอนนิสิต นักศึกษา ที่มาจากประสบการณ์จริง รวมถึงวิธีคิดของผู้บริหาร สามารถนำมาถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ได้


สมัยเด็กมีประสบการณ์ที่สร้างจุดเปลี่ยนและการเรียนรู้มากมาย เริ่มจากเรียนโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ย้าย มาอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ช่วงมัธยมศึกษาตอนปลายต้องปรับตัวจากสังคมที่มีแต่เด็กผู้หญิงมาสู่สังคมที่มีเพื่อนหลากหลายจากทั่วประเทศ ซึ่งจะจริงจังและมีแรงบันดาลใจในการเรียงสูงมาก ทำให้เธอต้องใจเรียนตามไปด้วยจน เกรดออกมา3.88 มาไกลมากกว่าที่คิดจากเดิมอยู่ห้องควีน ม.4 ย้ายไปอยู่ห้องคิงส์ ช่วงม.5 หลังจากสอบเทียบติดคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ 2เดือน เธอได้ทุน AISE (American Intercultural Student Exchange) ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา 1 ปีในรัฐมิสซูรี เมืองยูเนีย Host Family อยู่บนภูเขา มีทะเลสาบ ฟาร์มเลี้ยงม้าเป็นเมืองชนบท

" เป็นชีวิตอีกแบบที่ไม่เคยเจอ โชคดีมากที่ Host Family ที่ไปอยู่ด้วยรักเด็กไทย และยิ่งเราเป็นคาทอลิกเหมือนกันทำให้เข้ากันได้ดี การที่ได้ไปอยู่ที่โน่นถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเหมือนกัน จากเด็กที่ขี้อาย เวลาอ่านเรียงความ หน้าชั้น หรือ พูดต่อหน้าคนจะสั่น แต่พอไปอยู่ที่นั่น เราต้องปรับตัวในการอยู่กับเพื่อนใหม่ ต้องมีจุดยืนของตนเอง ต้องฟังคนอื่นให้ได้ มีความหลากหลายสูงมาก ต้องปรับตัวเองใหม่ "


ระหว่างอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เธอค้นพบว่า ตัวเองมีพรสวรรค์ทางด้านงานศิลปะ ครูมองเห็น จึงพยายามผลักดันให้เรียนงานศิลปะหลายๆแขนง เช่น วาดรูป ปั้นดิน สุดท้ายรูปที่เธอวาดถูกส่งไปประกวดอยู่ในมิวเซียมที่เซนต์หลุยส์ ได้รางวัลเยอะแยะจนได้ทุนเรียนต่อปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา ช่วงนั้นเกิดวิกฤติทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนของ
ไทยปี 2540 ถึงจะได้ทุนแต่ถ้าอยู่ต่อจะเป็นภาระกับพ่อแม่ จึงตัดสินใจกลับมาเรียนต่อที่คณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ และได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ปัจจุบันณฤดีแต่งงานแล้วกับดร.หลุยส์ ดนัย คริสธานินทร์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาภาวะผู้นำที่มีประสบการณ์ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นคนสำคัญที่ผลักดันให้เธอได้เรียนรู้ด้านธุรกิจคอนซัลท์ เทรนนิ่ง แม้ว่าเธอกับสามีจะงานเยอะแต่จะพยายามจัดสรรเวลาว่างให้ตรงกัน

สำหรับเป้าหมายการทำงานของเธอคือการทำงานเพื่อเรียนรู้ และได้ประสบการณ์ต่างๆจากลูกค้าและพาร์ตเนอร์ ส่วนชีวิตส่วนมีความสุขกับการได้แชร์ความรักให้กับคนรอบข้าง ล่าสุดได้เป็นกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย ซึ่งมีโปรเจคเกี่ยวกับการศึกษา