‘ณัฐพล ปัทมพงศ์’ เจ้าพ่อแอ็คชั่น คาเมร่า

ณัฐพล ปัทมพงศ์ ผู้หลงรักความเร็ว อดีตแบรนด์แอมบาสเดอร์วิสกี้ยี่ห้อดัง ในฐานะมือปืนรับจ้างสู่เจ้าพ่อแอ็คชั่น คาเมร่า เส้นทางชีวิตไม่เคยนิ่ง
ณัฐพล ปัทมพงศ์ เคยได้รับบทเรียนราคาแพง จากความที่คลั่งไคล้การขับโกคาร์ทตัดสินใจกู้เงิน 2 แสนบาทมาซื้อรถโกคาร์ท 1.8 แสนบาท ขณะที่มีรายได้จากการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน 20,000 บาท เป็นความผิดพลาดมหันต์ในชีวิต ทำให้เข็ดขยาดกับการใช้เงินเกินตัว ขณะเดียวกันมีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย เพื่อตอบสนองความอยากอย่างมีสติ “ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกพยายามเปลี่ยนงานเพื่อให้ได้เงินมากขึ้นจาก 20,000 บาท ขยับมาเป็น 50,000 บาท แต่พอโตขึ้นความต้องการในชีวิตมากขึ้น เช่น รองเท้าเสื้อผ้า กินข้าว เที่ยวกับแฟน แข่งรถอีก ติดหนี้อีรุงตุงนัง ต้องใช้เวลาเกือบ 10 ปี”
พื้นฐานของณัฐพล จบปริญญาตรีวิศวะเครื่องกล ต่อโทไฟแนลเซียลที่บอสตัน จากนั้นกลับมาทำงานบริษัทที่ปรึกษาทางด้านบัญชีและการเงิน 3 ปี แล้วสมัครทำหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์หรือพื้นฐานด้านการตลาดมาก่อน แต่ด้วยความที่อยากเรียนรู้ ทำได้สักพักถึงจุดอิ่มตัว จึงลาออกมาเพราะอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ที่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก
"ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของผม ชื่นชอบกิจกรรมหนักๆและการออกกำลังกาย เช่น แข่งรถ ขี่จักรยาน และต้องการหากล้องที่มีความทนทานและให้ภาพสวยมาใช้บันทึกภาพ ก็เริ่มศึกษาและทดลองซื้อกล้องในลักษณะดังกล่าวมาใช้งานเอง เริ่มจากไปซื้อกล้องกระดุมพร้อมฮาร์ดไดรฟ์ติดที่หมวกแต่พังง่าย กระทั่งได้รู้จักโกโปร กล้องแนวสปอร์ต แอ็คชั่น คาเมร่า (Sport Action Camera) จากสหรัฐอเมริกา ก็รู้สึกชอบจากการใช้งานส่วนตัว และเห็นแนวโน้มว่าสินค้านี้น่าจะขายดี จึงคิดนำเข้าสินค้าดังกล่าวและอุปกรณ์เพื่อนำมาจำหน่ายด้วย กระทั่งกลายเป็นผู้นำในตลาดแอ็คชั่น คาเมร่าในประเทศไทย"
กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ ณัฐพลในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมนทาแกรม จำกัด ต้องเหนื่อยไม่น้อย กว่าจะผลักดันยอดขายกล้องโกโปรจากช่วง 6 เดือนแรกขายได้เดือนละ 5 ตัวเท่านั้น โดยทำหน้าที่เป็นทั้งเซลส์และแอดมิน เขาโชคดีที่ได้ประสบการณ์การทำงานจากการทำงานในบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและดิอาจิโอ ทำให้ได้พื้นฐานที่ดีในการเซตอัพธุรกิจรวมทั้งมีเครือข่ายจากคนรอบข้างเข้ามาช่วยสนับสนุน ทำให้เติบโตจนปัจจุบันยอดขายก็ลุ้นเฉียดๆ หลักพันล้าน
ส่วนการดูแลสุขภาพร่างกาย สำหรับ ณัฐพล ถือเป็น คนหนึ่งมีวินัยในการออกกำลังกายสูง สมัยก่อนเขาจะมีกลุ่มปั่นจักรยานประมาณ 10 คน ปั่นทุกวันอังคาร พฤหัสฯ และอาจเพิ่มเสาร์อีกวันหนึ่ง แต่ถ้าวันไหนมีแข่งรถก็จะไปซ้อมวันเสาร์ -อาทิตย์
"ผมหยุดลงสนามแข่งรถ 2 ปีแล้ว หลังจากมีลูกคนแรกก็ต้องปรับเวลาใหม่ตื่นตี 5 ครึ่ง วิ่งไปสปอร์ตคลับ 6 โมง กลับมาบ้าน 7 โมงครึ่ง 9 โมงเข้าไปที่ทำงาน ไม่มีเวลาเอ้อระเหย สมัยก่อนคิดแค่ว่า ฟิตร่างกายเพื่อที่จะไปทำอะไรต่อ และไม่อยากเป็นแบบคนที่อายุเท่ากันที่ลงพุง ถ้าถามว่าผมเคยอ้วนไหม ผมก็เคยอ้วน 78 กิโลกรัม ตอนนี้น้ำหนักอยู่ที่ 72-73 กิโลกรัม ตอนที่ฟิตๆ น้ำหนักอยู่ที่ 68 กิโลกรัม แต่ผมคงไม่มีทางลดลงไปได้ขนาดอีก ถ้าไม่อดข้าวอดน้ำ ซึ่งทำให้ผมไม่มีความสุขกับชีวิต จริงการดื่มเหล้าไม่อ้วนแต่การกินกลับตอนกลางคืนทำให้อ้วน เทคนิคการคุมน้ำหนักถ้าไม่อยากคุมอาหาร ห้ามอดอาหารแต่คุมในสิ่งที่เรากิน ทุกวันนี้ผมฟิตร่างกายเพื่อที่ได้อยู่เล่นกับลูกนานๆ (หัวเราะ)"
หลังจากที่มีลูกชาย มุมมองความคิดและเป้าหมายในการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป คุณพ่อป้ายแดง ยอมรับว่า ทันทีเห็นหน้าลูกรู้สึกได้ถึงความรักและภารกิจที่ยิ่งใหญ่ตามมาทันที รู้สึกว่า ต้องให้ความระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองขึ้นเพื่อที่จะได้ดูแลลูกและภรรยา ล่าสุดตัดสินใจขายมอเตอร์ไซค์ 2 คันไปเรียบร้อยแล้ว และเริ่มเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่เคยห้ามปรามด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าขี่มอเตอร์ไซค์แล้วถูกเฉี่ยวขาหัก ใครจะช่วยภรรยาดูแลลูก ใครจะช่วยทำโน่นทำนี่ และถ้าเหตุการณ์แย่ไปกว่านั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเรา ยิ่งไปกันใหญ่ ขายไปเลยดีกว่าเพื่อความสบายใจ” อดีตนักซิ่งพ่อลูกอ่อน ทิ้งท้ายถึงการตัดสินใจสละทิ้งของรักของหวงเพื่อสิ่งที่รักมากที่สุด
* เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2559







