รักษ์ ณ ปากประ

รักษ์ ณ ปากประ

การมาของโครงการยักษ์ใหญ่ไม่ใช่แค่น้ำเค็มที่ถูกกั้น แต่นั่นหมายถึงวิถีชีวิตและระบบนิเวศของคลองปากประจะเปลี่ยนไป ไม่เหลือแม้แต่แคมเปญการท่องเที่ยว

ภาพยอยักษ์ต้องแสงอาทิตย์มีผืนน้ำกว้างใหญ่เป็นฉากหลักบนสื่อโฆษณาการท่องเที่ยวโดยมีนักแสดงหนุ่มเจ้าเสน่ห์เป็นพรีเซนเตอร์ ทำให้หลายคนอยากไปสัมผัสช่วงเวลาพิเศษแบบนั้นบ้าง แต่ความสวยงามของวิวหลักล้านไม่ใช่แค่ที่เห็นผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ ที่ ‘คลองปากประ’ ยังมีควายน้ำ, นาริมเล, ทะเลดอกบัว, นกนานาพันธุ์, วิถีชีวิต และความสำคัญในฐานะพื้นที่ชุ่มน้ำระดับประเทศและระดับโลก

...แต่ทุกอย่างอาจถึงคราวจบบริบูรณ์เมื่อหน่วยงานรัฐกำลังคิดแทนคนท้องถิ่นว่าพวกเขาเดือดร้อนจากน้ำเค็ม ทั้งที่ความจริงพวกเขาไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลย...

44442769_1987753974616738_7423844932411981824_o  

  • เสน่หาปากประ

“ถ้ามีประตูกั้นน้ำเค็ม แถวนี้ไม่เหลือ ลุงเองก็ไม่ได้มาขับเรือให้นักท่องเที่ยวแบบนี้”

คุณลุงคนขับเรือเอ่ยขึ้นระหว่างพานักท่องเที่ยวชมความงดงามของคลองปากประ ทะเลน้อย แม้วันนี้ยอยักษ์ยังถูกยกขึ้น-ลงเพื่อดักจับปลา ดวงตะวันยังโผล่พ้นขอบฟ้าและผืนน้ำในทุกเช้า และวิถีชีวิตของคนปากประยังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเหมือนทุกวัน แต่แววตาของชายสูงวัยที่มือกำลังจับคันเร่งเรือกลับฉายแวววิตกกังวล...อย่างที่ลุงบอก หากประตูกั้นน้ำเค็มเกิดขึ้น แม้แต่อาชีพขับเรือของเขาก็ต้องยุติ เพราะของดีที่นี่จะไม่เหลือ

ช่อน - ปารินทร์ ปล้องไหม ราษฎรคลองปากประเต็มขั้น ไม่ใช่แค่เกิดและเติบโตที่นี่ แต่ต้นตระกูลของเขาตั้งรกรากมานับร้อยปีแล้วบนแผ่นดินริมคลองปากประ การตื่นเช้ามืดตั้งแต่ดวงตะวันยังไม่โผล่พ้นน้ำ ล่องเรือออกไปหาปลาบ้าง ไปยกยอบ้าง มองดูนกประจำถิ่นและนกอพยพบินออกหากิน หรือแม้แต่การล่องเรือผ่านฝูงควายน้ำที่ดำผุดดำว่ายกินหญ้า เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาเห็นจนชินตาแต่ไม่เคยชินชาเลย เขาบอกว่าจุดแข็งของปากประหรือแม้กระทั่งของจังหวัดพัทลุงคือความเป็นบ้านนอกที่หาได้ยากแล้วจากที่อื่น

“ที่นี่ไม่ต้องจ้างให้เขายกยอ ไม่ต้องจ้างให้เขาล่องเรือไปวางกับวางข่าย มันเป็นวิถีชีวิตจริงๆ”

ช่อนเล่าว่าแต่ก่อนพัทลุงมีจุดขายแค่มาดูบัวแดงทะเลน้อยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือไม่ก็มาดูน้ำตก พัทลุงถูกมองข้ามมาตลอด ต่อมาพอคนรู้ว่ามียอยักษ์ มีแรมซ่าไซต์ (พื้นที่ชุ่มน้ำ) และอีกมากมาย กลายเป็นว่าเกิดการเชื่อมโยง คนเริ่มหลั่งไหลมาเที่ยวทางนี้ จากที่ชาวบ้านแต่ก่อนมีอาชีพประมงไปวางกับวางข่ายตอนกลางคืน ตอนเช้าไปเก็บกู้ แล้วปลดปลาขายให้แม่ค้าเฉพาะช่วงเช้า เดี๋ยวนี้ที่การท่องเที่ยวคึกคักชาวบ้านขายได้ทั้งวัน

ความคึกคักทางเศรษฐกิจทำให้ลูกหลานและชาวบ้านไม่ต้องไปทำงานไกลบ้าน เกิดเป็นอาชีพมากมาย แถมยังค่าแรงสมน้ำสมเนื้อด้วย เช่น ชาวบ้านที่มีเรือหางยาวก็มาขับเรือพานักท่องเที่ยวล่องทะเลน้อยได้อีก เด็กๆ คนหนุ่มสาวก็รับจ้างที่โรงแรมและร้านอาหารหลายแห่งรอบๆ คลองปากประ เป็นต้น

คลองปากประเป็นคลองสายหนึ่งของลุ่มทะเลสาบสงขลา แต่เป็นคลองขนาดยาวในพื้นที่จังหวัดพัทลุงที่เชื่อมต่อไปออกทะเลหลวงซึ่งมีน้ำเค็ม

ตั้งแต่จำความได้ สุชาติ บุญญปรีดากุล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.ลำปำ วัย 32 ปี ก็เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างนี้เสมอมา แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง เขาขยายความว่าคนที่นี่ส่วนมากทำประมงพื้นบ้าน จนกระทั่งปี 2547 ภาครัฐรณรงค์เรื่องการปลูกปาล์มน้ำมัน ชาวบ้านราวครึ่งหนึ่งก็ไปปลูกปาล์มน้ำมัน อย่างไรก็ตามอาชีพประมงยังเป็นหลักอยู่

ความเป็นคนใกล้น้ำทำให้รู้ว่าคุณสมบัติพิเศษของคลองปากประคือการมีสามน้ำ ได้แก่ น้ำเค็ม น้ำกร่อย และน้ำจืด อยู่ร่วมกันทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายในระบบนิเวศ

“พวกกุ้งก้ามกรามจากที่สมมติหาได้วันละกิโล เวลาช่วงที่น้ำกร่อยมาจะหาได้เพิ่มอีกเท่าตัว เพราะกุ้งพวกนี้ส่วนมากจะอยู่แถวปากแม่น้ำ ง่ายๆ คือมีผลผลิตเพิ่มขึ้น และมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สัตว์น้ำ จากบางชนิดที่ตอนเป็นน้ำจืดแล้วไม่มี พอเริ่มมีน้ำกร่อยนิดหน่อยก็จะเริ่มมา เช่น กุ้งขาว ปลาลูกเบร่ ปลาดุกทะเล ปลาหัวโม่ง ฯลฯ ที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก ตั้งแต่ผมเด็กๆ จนถึงตอนนี้”

44232012_1987754027950066_3302847146457300992_o

  • ปากประไม่เอาประตู

เมื่อมองจากภาพจำลองโครงการสร้างประตูกั้นน้ำเค็ม บริเวณคลองปากประแทบจะถูกเปลี่ยนโฉมอย่างสิ้นเชิง ทั้งแง่กายภาพและที่สำคัญคือด้านชีวภาพ

ถึงแม้โลกจะเคลื่อนไปถึงยุคดิจิทัลแค่ไหน แต่เสน่ห์ของที่นี่กลับเป็นความดั้งเดิม วิถีชีวิตตลอดจนการทำมาหากินของชาวบ้าน จากเมื่อร้อยปีก่อนกับปัจจุบันแทบจะเปลี่ยนไปน้อยมาก เหตุผลหนึ่งคือมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ หาข้าวหาปลาเพียงแค่ล่องเรือไปวางกับวางข่ายก็ได้อาหารแล้ว หรือยกยอจับปลา โชคดีได้มากก็ขาย โชคไม่ดีได้น้อยก็แค่พอกิน ความเรียบง่ายแบบนี้ทำให้ชาวบ้านไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเกินไปนัก

แต่การมาของโครงการสร้างประตูกั้นน้ำเค็มปากคลองปากประ ที่ภาครัฐอ้างเหตุผลว่าจะช่วยไม่ให้น้ำเค็มเข้ามาสร้างความเดือดร้อนต่อภาคเกษตรกรรม และจะได้ควบคุมการเข้า-ออกของน้ำทะเลได้ กลับสวนทางกับสิ่งที่ทุกชีวิตบริเวณคลองปากประเป็นอยู่

“เขาบอกว่าประตูนี้กั้นน้ำเค็ม แต่ทั้งพ่อแม่คนเฒ่าคนแก่เล่าว่าเคยเกิดเหตุการณ์ที่น้ำเค็มเข้ามาแค่ครั้งสองครั้งเองในรอบเป็นร้อยปี พอมันเกิดแค่สี่ถึงห้าสิบปีครั้ง มันไม่น่าเป็นเหตุให้ต้องกั้น เพราะพอน้ำเค็มเข้า สักพักหนึ่งมันก็กลับโดยสภาพของมันเอง พอฝนตกสักห่าสองห่าน้ำก็ไปเจือจางแล้ว

ที่น้ำเค็มเข้ามามากที่สุดก็เมื่อปี 2533 นู่น ตอนนั้นเหตุหลักคือฝั่งระโนดทำนาหนักมาก เครื่องสูบน้ำใหญ่มาก สูบเอาน้ำจืดไปใช้เยอะ กลายเป็นว่าน้ำเค็มเลยเข้ามาเยอะ แต่พอสักพักก็กลับมาเป็นปกติ”

สิ่งที่ช่อนเล่าทำให้ประเด็นเรื่องน้ำเค็มเข้ามาแทบจะตัดทิ้งไปได้เลย ด้วยความที่ที่นี่มีสภาพเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม (Lagoon) ซึ่งมีระบบนิเวศหลากหลาย ต้องมีทั้งน้ำเค็ม น้ำกร่อย น้ำจืด การขึ้นลงของน้ำเค็มจึงเป็นตัวแปรระบบนิเวศนี้ตามธรรมชาติ การกีดกันน้ำเค็มจึงเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ จนถึงขั้นอาจถูกธรรมชาติลงโทษด้วยอุทกภัยใหญ่เป็นของแถม

“ผมอยากให้ดูภาพถ่ายทางอากาศน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว จะเห็นชัดมาก ถ้าเอาสะพานปากประเป็นเกณฑ์ แล้วฝั่งอำเภอควนขนุน ตั้งแต่คอสะพานลงไปโชคดีตรงที่ถนนเตี้ย ทุกปีน้ำจะท่วมถนน แล้วไหลลงทะเลสาบไปเลยอัตโนมัติ ระบายน้ำได้เร็วมาก พอสร้างประตูกั้นน้ำต้องมีสันเขื่อนระยะทางร่วม 20 กิโลเมตร อันดับแรกคือทำลายระบบนิเวศ ต้นไม้แถวนี้ไปหมด แต่ใน EIA บอกไม่มีต้นไม้เลยนะ (ทั้งที่มีเยอะมาก) พอสันเขื่อนสูงน้ำก็จะถูกบีบให้ออกทางเดียว ยิ่งมีอาคารอยู่ตรงกลางด้วย แทนที่น้ำจะไหลลงง่ายๆ ก็ติด”

มาที่อีกเหตุผลของโครงการฯ คือเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรม เป็นที่ทราบกันดีว่าพัทลุงคือจังหวัดที่ทำเกษตรกรรมอยู่เดิมที อย่างทำนาก็ทำมากถึงปีละ 3 ครั้ง เรียกว่าเต็มสูบแล้ว ช่อนตั้งคำถามกลับไปว่า “จะให้เขาทำอะไรมากกว่านี้อีกหรือ?” และในทางกลับกันการปิดประตูน้ำทำให้สารเคมีทางการเกษตรที่ปกติก็มากอยู่แล้วและถูกปล่อยไหลตามน้ำจะถูกกักไว้ เขาบอกว่าขนาดปล่อยให้น้ำขึ้น-ลงตามธรรมชาติ บางปีปลาลอยคอเพราะฝนตกชะล้างสารเคมีลงไปในน้ำแล้วเจือจางไม่ทัน

แง่การท่องเที่ยว ปฏิเสธไม่ได้ว่ายอยักษ์คือภาพจำของคลองปากประ และอาจรวมไปถึงทะเลน้อยด้วย แต่อะไรที่ทำให้ยอยักษ์ของคลองปากประกลายเป็นแลนด์มาร์กเพียงแห่งเดียวของทะเลน้อยทั้งที่เป็นทะเลสาบเดียวกัน คนปากประขนานแท้ตอบว่าเพราะน้ำจากเทือกเขาบรรทัดไหลสู่คลองปากประ บวกกับน้ำที่ขึ้น-ลงทุกวัน นำมาซึ่งแร่ธาตุ ตะกอนต่างๆ ทำให้เป็นแหล่งอาหารของ ‘ปลาลูกเบร่’ ชาวบ้านจึงสร้างยอยักษ์เพื่อดักจับปลาลูกเบร่ เซเลบริตี้แห่งคลองปากประ

“เมื่อทำเขื่อน อย่างไรคุณก็ต้องปิดประตู แสดงว่าคุณปิดการขึ้น-ลงของน้ำในแต่ละวัน ปลาลูกเบร่ก็ไม่มาแล้ว มันจะกระจายไปรอบทะเลสาบ ชาวบ้านจะลงทุนเป็นหมื่นทำยอยักษ์ทำไม ยอยักษ์ก็จบลงโดยปริยาย อย่าลืมว่าพัทลุงดังได้ทุกวันนี้จากองค์ประกอบหลายอย่าง แต่หลักๆ คือ มีธรรมชาติแบบนี้ คนไม่ได้มาแค่ดูอาทิตย์ขึ้นธรรมดา แต่เป็นอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางวิถีชีวิตชุมชน มียอยักษ์ แต่พอไม่มียอ ไม่มีวิถีชีวิต มีแค่ดวงอาทิตย์ขึ้นจากน้ำ ดูที่ไหนก็ได้แล้ว”

อีกของดีที่กระทบหนักแน่นอนคือ ‘นาริมเล’ ที่ต้องอาศัยแร่ธาตุจากตะกอนน้ำ พอถูกปิดกั้นก็จบอีกเช่นกัน ด้านผู้ใหญ่สุชาติบอกว่า “ไม่เห็นด้วยอย่างแรง” จึงเกิดการรวบรวมรายชื่อไปยื่นหนังสือคัดค้านไปยังนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการก่อสร้างประตูกั้นน้ำเค็มผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ซึ่งเขาบอกว่าชาวบ้านทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ไม่มีคนเห็นด้วย

“เพราะคนที่นี่มีชีวิตอยู่กับน้ำ ถ้าวันหนึ่งมีประตูกั้นน้ำ เราจะถูกจำกัดโดยชลประทาน จะเอาเรือออกเอาเรือเข้าก็ไม่สะดวก บางคนมีที่อยู่แค่นิดเดียวตรงนั้น ถ้าโดนเวนคืนเขาจะไปอยู่ที่ไหน คนที่นี่ไม่ใช่คนร่ำรวย ส่วนมากมีที่แค่ไร่สองไร่ ปลูกบ้าน ปลูกพืช หากินกับทะเลและลำคลอง ถ้าโครงการนี้มาจริงๆ คนตรงนี้จะลำบาก”

ปกติวิสัยของคนปากประคือรักสงบ ไม่เคยมีปัญหากับหน่วยงานรัฐ แต่การออกมาเรียกร้องให้ยุติโครงการประตูกั้นน้ำเค็มครั้งนี้กำลังสะท้อนความเดือดร้อนต่อวิถีชีวิตของพวกเขา จากไม่ส่งเสียงกลับเปล่งเสียง จากปกติสุขกลับต้องลุกขึ้นสู้ อาจเพราะแค่ป้ายโฆษณายอยักษ์กับอนันดาไม่ทรงพลังพอให้ภาครัฐเห็นคุณค่าแท้จริงของคลองปากประ ที่ยังไม่ควรตายเพราะการพัฒนาแบบคิดแทนชาวบ้านแบบนี้

44321805_1987753937950075_7410936824815681536_o

42959615_1987754044616731_6663442275692969984_o