ฟันธง! 'นวดเปิดสมอง'หลอกลวง อันตรายถึงตาย

ฟันธง! 'นวดเปิดสมอง'หลอกลวง อันตรายถึงตาย

นักวิชาการฟันธง“นวดเปิดสมอง”หลอกลวง ไม่ใช่กรรมวิธีการนวดไทย ตำราระบุชัดห้ามทำ อันตรายถึงตาย แนะคนไทยเช็ค 5 เรื่องก่อนใช้บริการ

ที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มีการเสวนา เรื่อง “นวดเปิดสมอง : ของแท้หรือหลอกลวง” จัดโดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สภาการแพทย์แผนไทย สถาบันการศึกษาด้านการแพทย์แผนไทย และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) โดย ภก.ยงศักดิ์ ตันติปิฎก รองประธานสมาพันธ์แพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การนวดเปิดสมองที่เป็นการกดเส้นเลือดแดงคอทั้ง 2 ข้างพร้อมกันนั้น ไม่ถือเป็นกรรมวิธีการนวดแผนไทย โดยในตำราวิชาการและการสอบถามจากผู้ทรงภูมิปัญญาด้านการนวดไทย ระบุตรงกันว่า การนวดไทยมีข้อที่ควรระวังอย่างยิ่ง คือ การกดบริเวณหลอดเลือดบริเวณคอ เพราะจะทำให้ความดันลด และมีอันตรายถึงแก่ชีวิต จากการที่ทำให้สมองขาดออกซิเจนไปเลี้ยง จึงไม่ควรเปิดปิดประตูลมบริเวณดังกล่าวเด็ดขาด

 หรือแม้แต่การกดเพียงเส้นเลือดดังกล่าวเพียงด้านเดียวก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้หินปูนที่เกาะอยู่บริเวณผนังเส้นเลือดหลุดเข้าไปในกระแสเลือดแล้วเข้าไปอุดตันเส้นเลือดสมองทำให้อัมพาตและถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้ ในการนวดเพื่อบำบัดอาการไมเกรน และแก้อาการปวดหัวมีหลายวิธีที่ปลอดภัยแลได้ผล โดยไม่ต้องไปกดจุดเส้นเลือดดังกล่าว

“การกดเส้นเลือดแดงบริเวณคอพร้อมกัน 2 ข้าง ไม่มีใครทำ เป็นเรื่องช็อกโลก เพราะเส้นเลือดแดงดังกล่าว่งผ่านเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงสมองโดยเฉพาะ เป็นจุดที่ไวต่อการสัมผัส ถ้าไปกระตุ้นทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงและการเต้นของหัวใจเปลี่ยนแปลง ดังนั้น คนที่ระบุการทำดังกล่าว เป็นการหลอกลวงเพื่อสรา้งราคาที่ผิดให้ตัวเอง เพื่อทำให้คนเห็นว่ามีความแปลกออกไปจากการนวดอื่น”ดร.ภก.ยงศักดิ์กล่าว

ดร.ภก.ยงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้สมาพันธ์ฯกำลังร่วมมือกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ดำเนินการเพื่อขอขึ้นทะเบียนการนวดไทยเป็ฯมรดกทาวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับยูเนสโก ซึ่งคนไทยต้องร่วมกันแสดงถึงการปกป้องคุ้มครองมรดกชิ้นนี้ เพราะหากคนไทยยังไม่ใส่ใจและเห็นคุณค่า ยูเนสโกก็คงไม่ให้การขึ้นทะเบียน

ทพ.อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ ผอ.สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กล่าวว่า การนวดจับเส้นเป็นการนวดเพื่อบำบัดรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพ โดยใช้ศาสตร์นวดไทย จึงจัดเป็นการประกอบวิชาชีพการแพทยืแผนไทย ซึ่งตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 กำหนดให้ต้องขออนุญาตเป็นเป็นสถานพยาบาลและผู้ดำเนินการต้องขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย หากกระทำโดยไม่มีใบประกอบวิชาชีพถือว่าผิดกฎหมาย ข้อหาเปิดสถานพยาบาลเถื่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดข้อหาประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2556 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท 

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีคลินิกการแพทย์แผนไทยขึ้นทะเบียนถูกต้องกับ สบส. จำนวน 804 แห่ง และคลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์จำนวน 109 แห่ง โดยยืนยันว่าการนวดเพื่อส่งเสริมสุขภาพ นวดผ่อนคลาย จึงเป้นการเปิดร้านเพื่อสุขภาพตาม พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 จึงไม่สามารถให้บริการรักษา จับเส้น และกดจุดได้

ด้านนพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ก่อนการรับบริการนวดไทยอยากให้พิจารณา 5 เรื่อง คือ 1.ตัวผู้ให้บริการ หรือหมอนวด แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1หมอนวดที่ร่ำเรียนสืบทอดภูมิปัญญา หรือหมอพื้นบ้าน โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ได้ขึ้นทะเบียนหมอกลุ่มนี้ 5 หมื่นกว่าคน ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ดูแลพี่น้องประชาชนในชุมชน การควบคุมอาจไม่สามารถใช้สภาวิชาชีพ หรือกฎหมายสถานพยาบาล แต่จะใช้ลักษณะการออกหลักเกณฑ์ในการดูแล โดยให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) และหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลของรัฐไปให้การดูแล จากจุดนี้อาจมีกลุ่มที่ไปแอบอ้างได้ มีการโพสต์ในโซเชียลมีเดียอวดอ้างจำนวนมาก ซึ่งวงการวิชาชีพต้องมาคิดหากระบวนการป้องกัน

กลุ่มที่2 ผู้ที่ฝึกอบรมการนวดมา เข้าหลักสูตรการอบรมนวดต่างๆ ทั้งนวดตัว นวดฝ่าเท้า และก็มาเปิดร้านนวด ตามกฎหมายจะต้องเป็นการบริการส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น ไม่สามารถให้บริการนวดในลักษณะการรักษาได้ โดยคนกลุ่มนี้พบว่า เมื่อนวดไปสักพักเริ่มเห็นโอกาส และแอบฝึกฝนเอง ครูพักลักจำ และไปโฆษณาว่า ตัวเองนวดรักษาได้ จุดนี้อันตราย เพราะความรู้งูๆ ปลาๆ แต่อยากมานวดรักษา ซึ่งจะทำให้เสียหายมากต้องหาทางยับยั้ง และกำจัดออกจากระบบ ไม่ง้นแวดวงการแพทย์แผนไทยเสียหาย. และกลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ได้ใบประกอบวิชาชีพแล้ว เรียกว่าหมอนวดเต็มตัว สามารถรักษา บำบัดอาการต่างๆ ได้ โดยหลักต้องผ่านการอบรมหลักสูตรอย่างน้อย 800 ชั่วโมง ต้องเรียนเป็นปีๆ ต้องเรียนกายวิภาคศาสตร์ กล้ามเนื้อกี่มัด เส้นเลือดกี่เส้น ต้องมีความรู้ ไม่ใช่ใครก็ได้ไปนวด

คนที่จะไปใช้บริการ ต้องถามก่อนว่ามีความรู้ความเชี่ยวชาญแค่ไหน

2.พิจารณาสถานที่ กลุ่มแรก สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เป็ฯการนวดที่ห้ามนวดเพื่อบำบัดอาการ หรือแม้แต่มีใบประกอบวิชาชพีก็ไม่ควรนวดเส้นเลือดแบบนี้ การจะทำได้ต้องทำในโรงพยาบาลหรือไม่ ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ มีแพทย์พยาบาลอื่นๆที่จะช่วยเราได้ 3.ต้องพิจารณาตัวท่านเองด้วยว่า มีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ มีข้อห้ามอะไร เช่น มีประวัติกระดูกหัก ข้อหลุด มีประวัติเรื่องเส้นเลือด เส้นเลือดแข็งตัว เส้นเลือดโป่งพอง ซึ่งเป็นข้อห้าม ท่านต้องบอกข้อมูลแก่ผู้ให้บริการด้วย

4.การบริการนวดที่เผยแพร่ทางยูทูป เห็นว่ากดแล้วสลบไป แต่ยังมีคนตามไปนวดอีก ไม่เข้าใจ สังคมไทยนี้แบบ สังคมแดกด่วน ไม่มีสติยั้งคิดเลย ปรากฎการณ์นี้ไม่โทษใคร ต้องโทษสังคมทั้งหมด สังคมไม่ยั่งคิด หนังสือไม่อ่าน วันๆ เปิดแต่โซเชียล ไลน์ และ5.หากเกิดปัญหาผลข้างเคียง ผลเสียหายจากการบริการนั้นๆ จะร้องเรียนได้ที่กรมสนับสนุนบบริการฯ แต่หากมีปัญหาข้อสงสัย ให้ส่งมาที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยได้ เรามีสภาวิชาชีพการแพทย์แผนไทย