“หลงลืม–มือสั่น–นอนละเมอ” ระวังเป็นพาร์กินสัน

“หลงลืม–มือสั่น–นอนละเมอ” ระวังเป็นพาร์กินสัน

โรคพาร์กินสันหรือโรคสันนิบาต คือ โรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ทั้งอาการสั่นซึ่งอาจพบบริเวณใบหน้า มือหรือขาก็ได้

“ปัจจุบันมีการรักษาโรคพาร์กินสันให้หายขาดหรือยัง”

“ท้องผูกก็เป็นส่วนหนึ่งของโรคพาร์กินสันด้วยหรือ”

“ถ้าผมเป็นโรคพาร์กินสันจริง ลูกผมมีโอกาสเป็นโรคพาร์กินสันหรือเปล่า”

“ทำไมพ่อผมมีปัญหาหลงลืมก่อนมือสั่นแล้วหมอบอกว่าพ่อผมเป็นโรคพาร์กินสันเทียม”

เป็นคำถามที่แพทย์มักถูกถามบ่อย ๆ เมื่อมีผู้ป่วยคนหนึ่งถูกวินิจฉัยว่า เป็นโรคพาร์กินสันครั้งแรก ไม่น่าแปลกใจที่ตัวผู้ป่วยหรือคนรอบข้างจะมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะโรคพาร์กินสันที่ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดที่ทำให้หายขาดจากโรค และตัวคนไข้จะต้องยอมรับที่จะอยู่กับโรคไปตลอดชีวิต ดังนั้นเราควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโรคพาร์กินสันเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลตัวเอง

โรคพาร์กินสันหรือโรคสันนิบาต คือ โรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (Motor symptoms) ทั้งอาการสั่นซึ่งอาจพบบริเวณใบหน้า มือหรือขาก็ได้ อาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็งหรืออาการเคลื่อนไหวช้า ซึ่งอาการเหล่านี้มักเริ่มครึ่งซีกก่อน เมื่อเป็นมากขึ้นจึงกระจายเป็นทั้งสองด้าน ดังนั้นจึงมีคนไข้จำนวนหนึ่งมักถูกสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบสิ่งที่ช่วยแยกได้ดี สำหรับสองโรคนี้ คือ ระยะที่เริ่มเป็นนั้นเป็นเฉียบพลันหรือค่อย ๆ เป็น นอกจากนี้ยังมีท่าเดินที่ผิดปกติมักเดินซอยเท้า การทรงตัวที่ไม่ดี หรือแม้กระทั่งปัญหาการหกล้มบ่อยๆ ล้วนเป็นอาการนำที่พาผู้ป่วยมาพบแพทย์

แต่แท้จริงแล้วโรคพาร์กินสันยังมีอาการในกลุ่มที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Non-motor symptoms) ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่าอาการเหล่านั้นมีสาเหตุเกิดจากโรคพาร์กินสัน ยกตัวอย่างเช่น การนอนละเมอ (พูดหรือออกท่าทางที่ตอบสนองต่อความฝันขณะนอนหลับ บางรายถึงขนาดทำร้ายร่างกายของคนที่นอนร่วมเตียง) ปัญหาการปวดตามร่างกาย หรือปัญหาของระบบประสาทอัตโนมัติโดยเฉพาะอาการท้องผูก อาการเหล่านี้อาจพบเป็นอาการนำก่อนที่จะเริ่มพบอาการผิดปกติทางการเคลื่อนไหวหรืออาการสั่นมาก่อนหลายปีก็ได้

นอกจากนี้ยังพบลักษณะของสมองเสื่อมหรือความจำไม่ดีที่เกี่ยวข้องกับโรคพาร์กินสันได้อีกด้วย โดยความจำเสื่อมชนิดนี้มีสาเหตุและอาการแสดงที่แตกต่างกับโรคความจำเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์อีกอาการหนึ่งที่ไม่ควรลืม คือ อารมณ์ที่ผิดปกติ ผู้ป่วยอาจมีอาการของโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมากเกิน บางคนคิดว่าอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรับรู้ว่าตนเองเป็นโรคที่ร้ายแรง

แต่ปัจจุบันมีการศึกษามากมายในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันที่แสดงให้เห็นว่าอาการผิดปกติทางอารมณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวโรคพาร์กินสันเอง นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายพูดน้อยลงหรือดูว่าขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมหรือกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำในอดีต อาการทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโรคพาร์กินสัน แต่เป็นอาการที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาได้

ดังนั้นผู้ป่วยหรือคนในครอบครัวไม่ควรที่จะลืมสำรวจอาการเหล่านี้และบอกกับแพทย์ของคุณเมื่อได้รับการตรวจ และอีกสิ่งหนึ่งที่ควรทราบอย่างยิ่ง คือ การดำเนินโรคของโรคพาร์กินสัน เมื่อแพทย์รักษาผู้ป่วยผ่านไประยะหนึ่งซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อยาดีมาก บางคนเหมือนกลับมาเป็นปกติ เรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่า Honeymoon period ซึ่งอาจกินระยะเวลาหลายปี ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ภาวะการตอบสนองต่อยาไม่สม่ำเสมอ เช่น ยาหมดฤทธิ์เร็วก่อนมื้อต่อไป (wearing off) การควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายไม่ได้หรืออาการยุกยิก (dyskinesia) เป็นต้น ซึ่งการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความยากไม่แพ้การรักษาเริ่มต้นเลย

คิดง่ายๆกับโรคพาร์กินสัน

สุดท้ายนี้โรคพากินสันเกิดจากความเสื่อมของสมองที่บริเวณส่วนกลางของก้านสมอง ที่ เรียกว่า ซับสแตนเชีย ไนกร้า (Substantia Nigra) หน้าที่ของสมองส่วนนี้ คือ การสร้างสารสื่อประสาทตัวหนึ่ง ชื่อ โดปามีนและสารตัวนี้เองที่ช่วยในการเคลื่อนไหวของร่างกาย ความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ ถ้าขาดสารตัวนี้ก็ทำให้หน้าที่ที่ควรจะเป็นของมันเสียไป เกิดเป็นอาการที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวตามที่กล่าวไป

แล้วการรักษาภาวะนี้ทำอย่างไร? ถ้าให้กล่าวง่าย ๆ อีก หลักการก็คือ การทดแทนสารโดปามีนที่ร่างกายสร้างไม่เพียงพอกลับคืนเข้าไปในปริมาณที่พอเพียง ซึ่งถ้าผู้ป่วยเป็นโรคพาร์กินสันจริง ส่วนมากมักตอบสนองต่อการรักษาด้วยการทดแทนสารโดปามีน กล่าวคือ ช่วยบรรเทาอาการของโรคได้ขณะที่ยาออกฤทธิ์

อย่างไรก็ตาม การรักษาใดที่ทำให้หายขาดจากโรคเลย คำตอบ คือ ยังไม่มีการรักษาใดที่จะทำให้สมองที่เสื่อมส่วนนั้นกลับมาทำงานได้ปกติเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับการรักษาเพื่อบรรเทาอาการหรือแม้กระทั่งการรักษาเพื่อชะลอการดำเนินโรค ทั้งยาทดแทนสารโดปามีนหรือวิทยาการรักษาใหม่ๆ เช่น การให้ยาในรูปแบบเจลเข้าสู่ลำไส้เล็กบริเวณที่ดูดซึมยาหรือ การผ่าตัดสมองส่วนลึกเพื่อใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เป็นต้น