แป้งฝุ่น อย่าทาบริเวณนั้นจะดีกว่า

แป้งฝุ่น อย่าทาบริเวณนั้นจะดีกว่า

ยังคงเป็นประเด็นที่สาวๆ ให้ความสนใจ กับการใช้แป้งฝุ่นโรยบริเวณน้องหนูของสาวๆ ด้วยเหตุนี้ คุณหมอกฤษดาจึงไขสงสัยอีกครั้งในแง่มุมที่รอบด้าน

ผมได้คุยเรื่อง “แป้งโรยตัว” อีกคำรบ เมื่อนักข่าวจากหนังสือพิมพ์แถวหน้าของเมืองไทยโทรเข้ามาถาม เรื่องนี้ที่จริงเคยพูดกันมาหลายครั้งแต่เมื่อเกิดผลการตัดสินของศาลในสหรัฐอเมริกาขึ้นเมื่อต้นปี เลยทำให้มีคลื่นกระทบฝั่งมาเป็นระลอกจนถึงบัดนี้ ในฐานะที่ทำงานประเภทเดียวกับสื่อสายการแพทย์แบบที่ฝรั่งเขาเรียก “เมดิคัล เจอร์นัลลิสต์" (Medical journalist) กับทำงานบรรยายในอีเว้นต์ต่างๆ ที่เชิญมา เลยต้องขอเล่าเรื่องนี้ให้ “เคลียร์” เพราะไม่อย่างนั้นก็จะเกิดวิจิกิจฉาพาให้ผู้บริโภคกังวลตามหัวขบวนกันไปไม่รู้จักจบ

ในการศึกษาเกี่ยวกับมะเร็งหลายงาน ได้พูดถึงแป้งฝุ่นโรยตัวแถวจุดซ่อนเร้นนี้ซึ่งก็มีจุดน่าสนใจจริง แต่สิ่งหนึ่งก็คือ มีงานวิจัยบางชิ้นก็ทำมานานแสนนานแล้วนับตั้งแต่ที่แป้งทาตัวสมัยก่อนยังปนเปื้อน “แร่ใยหิน" (asbestos) ที่เป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งข้อนี้ IARC ที่เป็นองค์กรวิจัยมะเร็งสังกัด WHO ก็ยอมรับมานานนม แต่แป้งในปัจจุบันไม่ได้ดึกดำบรรพ์ขนาดนั้นแล้ว จึงได้บอกกับพี่มิตรรักนักข่าวท่านนั้นว่า ถามเรื่องนี้ก็ดีเหมือนกันด้วยจะได้เป็นการให้ “คู่มือ” ใช้แป้งฝุ่นให้สุขภาพดีกับประชาชนเอาไว้ เรื่องนี้พอมีวิธีง่ายๆ ในทางอายุรวัฒน์อยู่โดยการสังเกตแป้งและเทคนิคที่จะทำให้ตัวเองใช้แป้งได้อย่างสบายใจ

มีสิ่งที่ควรรู้อยู่ 2-3 ข้อครับ
1) แป้งฝุ่นรุ่นเก่าควรเลี่ยง ชนิดที่เป็นของเก่ามานานหลายๆ สิบปีไม่ควรใช้ เพราะเคยมีรายงานการสำรวจแป้งฝุ่นในยุค 70 แล้วพบแร่ใยหินก่อมะเร็ง ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครเก็บโบราณวัตถุไว้ทาตัวมากนัก
2) แป้งทัลคัมรุ่นใหม่อย่าเพิ่งกังวล คนเรายังคงใช้แป้งได้ในขณะนี้แต่ต้องมีข้อห้ามเล็กๆ หน่อย คือ อย่าใช้โรยจุดซ่อนเร้น ซึ่งเรื่องนี้ทางผู้ผลิตจะติดป้ายให้ผู้บริโภค aware ไว้สักนิดก็ดีครับ ข้อห้ามแบบไม่อ้อมค้อมก็คืออย่าโรยแป้งหรือทาแป้งลงบริเวณอวัยวะเพศและช่องคลอดในสุภาพสตรีครับ สำหรับคุณผู้ชายบ้างก็ขอให้ดูแลสุขภาพผิวหนังไม่ให้อับชื้น โดยวิธีดีที่สุดคือ การใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนดี เล่นกีฬาแล้วอย่าปล่อยให้เหงื่อชื้นจนแห้งเอง หลังอาบน้ำเสร็จแล้วควร “ซับตัว” ให้แห้งตามซอกมุมของร่างกาย อย่าให้เป็นที่อับชื้นจนเสี่ยงอ่วมเชื้อครับ
3) เลี่ยงการสัมผัสในจุดบอบบาง ระวังการโรยแป้งจนฟุ้งไปหมดแล้วสูดดมเข้าไป เพราะอาจไปกระตุ้นภูมิแพ้ในบางคน หรือทำให้ระคายเคืองเยื่อบุอ่อนในทางเดินหายใจ ขอให้ระวังการตบแป้งจนฟุ้งกระจาย หรือทาบริเวณใกล้ลูกตา จมูก ปากและเยื่อบุอ่อนที่บอบบาง ซึ่งมีสิทธิ์ทำให้เกิดการระคายเคืองขึ้นมาได้

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสุขภาพที่สำคัญยิ่งคือ “มะเร็งรังไข่” บ้าง โรคนี้ที่จริงถือว่า “ไม่ได้พบบ่อยที่สุด” ด้วยมีมะเร็งอื่นๆ ในสุภาพสตรีที่พบบ่อยกว่า เพียงแต่ว่าต้องระวังมันไว้ให้ดีที่สุด เพราะแม้ไม่ได้พบบ่อยแต่ก็พบไม่น้อยเหมือนกัน โดยถ้าลงป่วยเป็นขึ้นมาแล้วภายใน 5 ปีจะมีรอดได้แค่ราว 50% เท่านั้นเอง...ฟังแล้วน่าห่วงอยู่ อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งรังไข่นั้นอยู่ “ที่ตัวเรา” เช่น ความอ้วนและอายุ แล้วก็ยังอยู่ “ในตัวเรา” ด้วยครับ นั่นคือเรื่อง “ยีน” ที่มีอยู่ 2 ตัวทำให้เราเสี่ยงมะเร็งรังไข่และเต้านมคือ “บีอาร์ซีเอ 1” กับ “บีอาร์ซีเอ 2” ยีนที่ว่านี้เองก็ทำให้ดาราฮอลลีวู้ดที่ยังสาวหุ่นดีต้องไป “ตัดเต้านมทิ้ง” เพื่อกันไว้ก่อน ดังนั้น เรื่องพวกนี้จึงควรดูให้กว้างๆ เอาไว้อย่าเพิ่งไปปักใจจนเสียกำลังใจ ให้ติดตามการศึกษาต่างๆ ต่อไปก่อนครับ

บทความโดย นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เผยแพร่ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ (กายใจ) วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2559