ประวิทย์ สุวณิชย์ ความสุข ‘คำต่อคำ’

ในวัยที่ก้าวไกลถึงครึ่งค่อนทาง เพียงแค่มีลมหายใจ "ประวิทย์ สุวณิชย์" ไม่ลังเลที่จะสร้างจุดพลิกผันให้กับชีวิตอีกครั้ง เพื่อทำในสิ่งที่รัก
จากเด็กที่ฝันใฝ่ที่จะเดินบนถนนสายหนังสือ ความสนใจบวกกับความสนใจจริงผลักดันให้เขาได้ทำงานในแนวทางที่ตั้งใจไว้ กองบรรณาธิการนิตยสารสารคดีคืองานแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ประวิทย์ สุวณิชย์ ก็หันเหเส้นทางเดินไปเป็นพนักงานสายการบินยักษ์ใหญ่ของประเทศ แล้วอะไรที่ทำให้ถนนชีวิตแสนหักมุมกลับเข้าร่องเข้ารอยจนทุกวันนี้เขาคือเจ้าของสำนักพิมพ์คำต่อคำ สำนักพิมพ์สุดอินดี้ที่ตั้งแต่เจ้าของยันพนักงานไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แถมยังมีวิถีชีวิตสมถะจนหลายคนต้องอิจฉา
๐ ตอนที่เปลี่ยนสายงาน คิดอะไร?
อาชีพสิ่งพิมพ์อาจเป็นอาชีพที่เงินเดือนน้อย ในปี 2530 ได้เงินเดือน 3 พันบาทเอง ครอบครัวก็อยากให้เราลองไปทางสายอื่นดูบ้าง ก็ลองไปทำงานสายการบิน ทำอยู่ 6 เดือนแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เลย ชีวิตพนักงานสายการบินแบบนั้นเราคิดว่าไม่ได้เติมเต็มอะไรในชีวิตเท่าไร แต่ตอนนั้นเหมือนว่าชีวิตการทำงานมันมีปัญหา มีความกดดันอะไรบางอย่าง ด้วยความที่อาจเป็นยุคเริ่มต้นที่เราทำงาน คิดแบบเด็กๆ นะว่างานที่นี่มีปัญหา ลองไปหางานอื่นดูบ้างไหมที่มันอาจจะไม่มี และอยากพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้วย
๐ ไม่เสียดายเงินเดือนจากสายการบิน?
ที่สายการบินเงินเดือนดีกว่ามาก แต่สิ่งที่ทำน่ะ มันเหมือนว่าตัวเองไม่ค่อยพัฒนา คือการทำงานหนังสือเราพัฒนาเรื่องความรู้ความคิดตลอดเวลาเพราะว่างานที่ทำมันบังคับให้ต้องอ่าน ให้ออกไปเสาะหาข้อมูล สัมภาษณ์บุคคล ไปลงพื้นที่สังเกตการณ์แล้วเก็บข้อมูลมาเขียน รู้สึกว่าภายในตัวเองได้พัฒนา มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเติมในชีวิตตลอดทุกวันเลย
แต่งานประจำแบบที่ทำกับสายการบินนั้นทำงานแบบเดิมๆ สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้พัฒนาเรื่องภาษาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเพราะบทสนทนากับผู้โดยสารซ้ำซาก เพราะฉะนั้นวงศัพท์จะค่อนข้างแคบ ทำงานไปก็มีคำถามในตัวเองตลอดเวลา
๐ เหมือนว่าชอบลำบากมากกว่างานสบาย?
จริงๆ ในความลำบากมันมีความสนุกนะ เพราะเราอยู่ในวัยหนุ่มสาว และในวัยหนุ่มสาวเนี่ยการเดินทางไปพบเจออะไรแปลกใหม่เป็นสิ่งที่ท้าทาย การทำงานที่สารคดีเป็นโอกาสให้เราได้เดินทางไปทั่วประเทศเลย การที่คนๆ หนึ่งจะเดินทางไปทั่วประเทศได้ด้วยการงาน ผมว่ามันเป็นโอกาสที่หายาก ทำให้ได้ไปยังสถานที่ที่คนธรรมดาไม่มีโอกาสได้ไป จึงเป็นช่วงเวลาที่เราได้เดินทางค่อนข้างเยอะทั้งในและต่างประเทศ
คนหนุ่มสาวจึงสนุกและมีความสุขมากกับงานแบบนี้ ไม่ได้คิดว่าลำบากอะไร แต่ส่วนค่าตอบแทนก็ต้องปรับวิถีชีวิตให้สมดุลกับรายได้
๐ อะไรที่ทำให้จากงานสารคดีกลายเป็นแนวอื่น?
ถึงแม้ว่าการทำงานจะอยู่ในสายสารคดีมาตลอด แต่ถ้าย้อนกลับไปในวัยเยาว์จะรู้เลยว่าเราเติบโตมากับนิยาย ผมอ่านนิยายเล่มแรกตอนอยู่ประถมห้าคือเรื่องปริศนา เนื่องจากว่าไปเข้าห้องสมุดของโรงเรียน ตอนนั้นเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร ที่โรงเรียนนั้นมีห้องสมุดค่อนข้างดีเพราะใช้ห้องสมุดร่วมกับมหาวิทยาลัยจึงมีหนังสือหลากหลายมาก แล้วเราก็ไปค้นพบหนังสือนิยายเรื่องปริศนา หยิบมาอ่านเอง และเป็นการอ่านแบบแอบอ่านเพราะในยุคนั้นพ่อแม่จะคิดว่าการอ่านนิยายเป็นเรื่องไม่ค่อยมีสาระ เราก็แอบอ่านตอนกลางคืน
จุดพลิกผันที่ทำให้เราเปลี่ยนสารคดีมาสู่โลกนิยาย เป็นเพราะเพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานสารคดีด้วยกันเขาเบื่องานสารคดีก็เลยเขียนนิยายแล้วไปลงสกุลไทย พอเขาเขียนเสร็จแล้วมันก็เป็นสเตปของการทำงานคือเขียนรายเดือนเสร็จแล้วต้องรวมเล่ม ในจังหวะนั้นก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่ที่สารคดีด้วยกัน ลาออกมาตั้งสำนักพิมพ์เองคือสถาพรบุ๊คส์ เขาบอกว่าให้เราหาต้นฉบับให้ด้วย พอเรารู้ว่ามีเพื่อนเขียนนิยายลงสกุลไทยเป็นตอนๆ กำลังจะหาจังหวะรวมเล่ม เราก็เลยเอาต้นฉบับพวกนี้ไปพิมพ์กับสถาพรบุ๊คส์ในยุคก่อตั้ง ก็เป็นจังหวะให้เปลี่ยนจากสารคดีมาจับงานนิยาย จากจุดเริ่มต้นก็เลยเถิดมาจนทุกวันนี้
๐ มาเป็นสำนักพิมพ์คำต่อคำได้อย่างไร?
ในโลกของการทำงาน ทำงานในระบบ ในบริษัท ในฐานะพนักงานมันไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง มีข้อจำกัดหรือความไม่เป็นอิสระหลายอย่าง เนื่องจากเราไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทำงานสัมพันธ์กับฝ่ายต่างๆ คำถามคือว่าในช่วงวัยที่อายุ 50 แล้วเราควรจะบอกตัวเองได้ว่าอย่างไหนที่อยากทำกับอย่างไหนที่ไม่อยากทำ ถ้ายังทำงานในระบบบริษัทเราจะตอบไม่ได้ เลยอยากเป็นอิสระมากกว่า
อยากคิดอยากทำจากความคิดความเชื่อตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเป็นอย่างไร เราอยากรู้ทุกอย่างในธุรกิจสิ่งพิมพ์ มันคงจะไม่มีโอกาสนี้ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจเอง ก็เลยตัดสินใจตอนอายุ 50 ว่าลองดูสักตั้ง ประกอบกับนอกจากเลี้ยงดูพ่อแม่แล้วก็ไม่มีภาระอะไรเลย หนี้สินก็ไม่มี เพราะฉะนั้น มันเป็นจังหวะเดียว เหมือนกับว่าถ้าเราปล่อยให้จังหวะนี้ผ่านไป โอกาสแบบนี้ก็คงไม่ย้อนกลับมาเมื่อเราอายุล่วงเลยไปมากกว่านี้
๐ ตัดสินใจตอนอายุ 50 ไม่ช้าไปหรือ?
ไม่ช้า เพราะในการทำงานอิสระมันทำไปได้ตลอด ผมก็เคยเห็นคนเป็นเจ้าของธุรกิจตอนอายุ 70 ก็ยังมี และโอกาสในทุกเรื่องมีช่องทางของมันเสมอ พูดง่ายๆ คือ ทุกวันนี้ในเมืองไทยมีสำนักพิมพ์เยอะแยะมากมาย แต่ก็มีโอกาสเสมอให้คนใหม่ๆ ได้ก้าวเข้ามา ก็มีสำนักพิมพ์ที่ล้มหายตายจากไป สำนักพิมพ์ที่เกิดใหม่มา อย่างนวนิยายเองถึงแม้ตอนนี้จะเบียดกันบนแผง แทบจะไม่มีที่วางหนังสือแล้ว แต่คิดว่ายังมีช่องทางใหม่ๆ เสมอถ้าคนมองเห็น
๐ เท่าที่ผ่านมา สำนักพิมพ์คำต่อคำเป็นอย่างไร?
แนวโน้มไปในทางที่ดีนะ อยู่รอดได้ และเราทำงานคัดต้นฉบับจนคนอ่านเชื่อใจว่าต้นฉบับที่คัดขึ้นมาพิมพ์มันโอเคในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ชอบทุกเล่มเพราะเราคงคัดหนังสือให้ถูกใจคนทุกเล่มไม่ได้หรอก แต่ว่าในระดับหนึ่งซื้อไปแล้วอ่านได้ ไม่เสียดายเงินแน่นอน เพียงแต่ว่าคุณจะชอบมากหรือน้อยแค่นั้น
และผมพยายามให้โอกาสแนวเรื่องแปลกๆ เช่น มีต้นฉบับอยู่หนึ่งเรื่องที่ระหกระเหินอยู่หลายสำนักพิมพ์มาก ด้วยข้อจำกัดเพียงแค่ว่านิยายเรื่องนั้นมีตัวละครสำคัญคืออดีตนายกรัฐมนตรีที่คอร์รัปชั่น แต่ผมอ่านแล้วชอบ ผมรู้สึกว่าไม่เห็นต้องใช้ความกล้าหาญอะไรเลยในการพิมพ์ต้นฉบับนี้ เพราะผมรู้สึกว่าในทุกวงการ ทุกอาชีพ มีคนดีคนเลว เพราะฉะนั้นผมไม่กลัวเลย ก็พิมพ์มันออกมา แล้วปรากฏว่าเป็นต้นฉบับที่ดีมากและขายดีมาก และกำลังจะเป็นละครในเร็วๆ นี้ด้วย นี่เป็นตัวอย่างว่าสำนักพิมพ์ที่อยู่ในระบบอาจจะคิดมากหน่อย แต่สำนักพิมพ์ที่ค่อนข้างอินดี้มีความอิสระมากๆ ที่จะเลือกต้นฉบับแบบนี้มาพิมพ์
๐สำนักพิมพ์คำต่อคำจึงเป็นตัวตนของคุณ?
แท้ๆ เลย เพราะเริ่มต้นจากเราร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่การตั้งสำนักพิมพ์ การตั้งชื่อสำนักพิมพ์ การคัดต้นฉบับ คัดนักเขียน มันคือตัวผม ครั้งหนึ่งเคยพยายามให้คนอื่นเลือกต้นฉบับ สุดท้ายแล้วมันอาจจะไม่ค่อยโดน ก็เลยคิดว่าควรต้องเลือกเอง
๐เมื่อทุกอย่างเป็นตัวของคุณเอง ทำให้การงานมีความสุขมากขึ้นไหม?
มันมีความสุขมากขึ้น และเป็นการงานที่ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ทุกวันนี้ต้องบอกว่าทำงานตามอารมณ์ อยากทำก็ทำถ้าสนุกกับมัน ส่วนมากการทำงานของผมงานจะติดตัวตลอด กระเป๋าหนึ่งใบนี่มีงานติดไว้ตลอด แล้วเราอยากทำที่ไหนก็ทำ ส่วนมากจะทำงานในร้านกาแฟ ใช้เวลา ใช้เงินทองไปกับร้านพวกนี้ค่อนข้างเยอะ เพราะเราถือว่ามันเป็นที่ทำงานที่เรามีความสุข มีบรรยากาศที่ดีต่อการทำงาน
เรารู้สึกว่าโชคดีมากที่มาค้นพบหนทางหรือการทำงานแบบนี้ในช่วงเวลาที่พร้อม เป็นอิสระเต็มที่ที่จะทำมัน คนหนุ่มสาวหรือคนที่อยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัวอาจจะทำไม่ได้อย่างเราเพราะอาจมีความเสี่ยงบางอย่าง แต่เราเลยจุดนั้นมาแล้ว คือมีความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอที่จะทำมันได้ พูดง่ายๆ คือมีอีกกระเป๋าหนึ่งที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยและอยู่รอดได้ แต่พาร์ทที่เราใช้ชีวิตอย่างอิสระมันเป็นสนาม เป็นพื้นที่ที่จะทำงานได้เต็มที่ ถ้ามันล้มเหลวก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีพื้นที่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ถ้าประสบความสำเร็จก็จะยินดี ยินดีกับชีวิตมากๆ
๐ มองภาพตัวเองกับการงานในอนาคตอย่างไร?
ผมเป็นคนไม่ได้มองไกล และคิดว่าด้วยไลฟ์สไตล์ของตัวเองที่มีคนบอกว่า ผมเป็นคนสมถะ ผมก็ว่าใช่ มีอยู่วันหนึ่งผมตื่นนอนขึ้นมาบนที่นอนขนาดหกฟุต แล้วก็บอกตัวเองว่าจริงๆ แล้วชีวิตคนเราก็ต้องการเพียงเท่านี้จริงๆ นะ เรานอนแต่ละคืนก็ต้องการเพียงที่นอนขนาด 5-6 ฟุต บนพื้นที่เท่านี้ ไม่ต้องการบ้านหลังใหญ่ ไม่ต้องการสนามหญ้าที่ต้องดูแลเสียค่าตัดหญ้าทุกเดือน รู้สึกว่าชีวิตอยู่ในจุดที่แคบๆ นั้นก็พอ ผมจึงไม่ได้มองไปอนาคตไกลๆ ว่าธุรกิจของผมจะต้องเติบโตเป็นธุรกิจที่มีผลกำไรร้อยล้าน เพียงแต่ทำงานทุกวัน ทุกขณะ อย่างมีความสุขก็พอแล้ว
๐ เป็นคนสมถะ อยู่กับปัจจุบัน มีความใฝ่ฝันอะไรบ้างไหม?
ไม่มีนะ เพราะผมเชื่อว่าได้ทำมาค่อนข้างเยอะแล้ว สมมติเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว บางคนคิดฝันว่าอยากเดินทางรอบโลก ผมก็ว่าผมได้ทำมาหมดแล้วและพบว่าตัวเองไม่ได้ชอบเดินทางยาวนานมากมายนัก แค่ไปเที่ยวห้าวันสิบวันก็อยากกลับบ้านแล้ว และรู้สึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด เพราะฉะนั้นก็ไม่อยากไปไหนไกลแล้ว
และอย่างที่บอกว่าเราต้องการที่อยู่แค่แคบๆ มีบ้านหนึ่งหลัง มีคอนโดที่จะเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานได้ มีบ้านอยู่ มีรถขับ มีรายได้ที่ดูแลพ่อแม่ได้ ดูแลพี่น้องคนรอบข้างได้ อย่างที่ไม่เบียดเบียนตัวเองหรือผู้อื่น ผมว่าพอแล้ว
๐ ความสุขจริงๆ ของคุณคืออะไร?
ความสุขคือความไม่มีทุกข์ ผมเป็นคนที่ไม่มีทุกข์ในชีวิตนะ ความสุขของเราเป็นความสุขที่หาได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้เงินเยอะนักซื้อ ความสุขเกิดจากการมีกาแฟหนึ่งแก้ว ได้นั่งอ่านหนังสือสนุกๆ ที่ชอบ แค่นี้ก็มีความสุขมาก ชีวิตผมอยู่กับการอ่าน การทำงานผมอ่านหนังสือ การพักผ่อนผมอ่านหนังสือ ก่อนนอนผมมีหนังสืออยู่ในมือ การอ่านคือความสุขของผม แน่นอนว่ามันง่ายมากเลยที่จะหาความสุข หนังสือแค่หลักร้อยบาท ถ้าไม่ไปสร้างเงื่อนไขกับชีวิตมากนัก ความสุขก็จะหาง่ายมาก
‘คำต่อคำ’ อาจเป็นชื่อของสำนักพิมพ์ของเขา แต่ก็อาจเป็นนิยามของความสุขที่พอเหมาะพอดีด้วยก็ได้







