รู้เท่าทัน 'โรคคาวาซากิ'

รู้เท่าทัน 'โรคคาวาซากิ'

"โรคคาวาซากิ" ภัยร้ายเด็กต่ำกว่า5ปี เหตุสำคัญของโรคหัวใจในเด็ก

พญ.มณินทร วรรณรัตน์ กุมารเวชศาสตร์โรคระบบหายใจ โรงพยาบาลเวชธานีชวนรู้จัก โรคคาวาซากิ (Kawasaki Disease)

เริ่มแรกที่ได้ยินชื่อ โรคคาวาซากิ (Kawasaki Disease) หลายคนอาจจะงงงวย ว่าเป็นโรคแบบไหน อันตรายแค่ไหน แล้ว ทำไมถึงได้ชื่อแปลกไปเหมือนกับจักรยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วชื่อโรคนี้ตั้งตามคนที่ค้นพบ ชื่อว่า Tomisaku Kawasaki แพทย์ชาวญี่ปุ่น ที่เมื่อปี 1967 ตรวจพบในเด็กชายชาวญี่ปุ่นอายุ 4 ปี ที่ป่วยเป็นไข้ร่วมกับอาการอื่นๆ ซึ่งไม่เคยตรวจพบมาก่อน หลังจากนั้นจึงตรวจพบผู้ป่วยอาการแบบเดียวกันมาเรื่อยๆ และมีอุบัติการณ์ของโรคนี้กระจายไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย แต่มักจะพบในเด็กชาวตะวันออกมากกว่าตะวันตกและส่วนใหญ่จะอายุน้อยกว่า 5 ปี

จากรายงานในประเทศไทยพบอุบัติการณ์ประมาณ 5-10 รายในประชากร 100,000 คน แต่ในระยะหลังๆ นี้พบว่ามีอุบัติการณ์ของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และภาวะการต้านยาก็พบมากขึ้นตามลำดับ เฉพาะในโรงพยาบาลเวชธานีก็พบว่ามีอุบัติการณ์ของโรคคาวาซากิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีเช่นกัน เนื่องจากโรคนี้หากให้การรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นคือ ก่อน 10 วันแรกของโรค จะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคแทรกซ้อนลงได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลอดเลือดหัวใจ จึงจำเป็นที่ผู้ปกครองทั่วไปจะพึงทำความรู้จักกับโรคนี้ เพื่อรับมือและช่วยให้ผลการรักษาสัมฤทธิ์ผลให้มากที่สุด

โรคคาวาซากิเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่ทำให้มีการอักเสบของเส้นเลือดขนาดกลางทั่วร่างกาย ซึ่งมีผลต่ออวัยวะในร่างกายหลายระบบ

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคคาวาซากิ คือ ไข้สูง ≥ 5 วัน ร่วมกับมีอาการต่างๆ 4 ใน 5 ข้อนี้

1. เยื่อบุตาอักเสบ 2 ข้าง
2. มีอาการของลิ้นและริมฝีปาก ได้แก่ ลิ้นเป็นสตรอว์เบอร์รี่, ริมฝีปากบวมแดงแห้งแตก
3. มีอาการของแขน ขา ได้แก่ แขนขาบวมแดง ผิวแห้งปลายเท้าลอก
4. มีผื่นตามตัว อาจเป็นผื่นแดงคล้ายลมพิษหรือปื้นแดงตามตัว
5. ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต โดยเฉพาะเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1.5 เซนติเมตร

กรณีที่ผู้ป่วยมีไข้มากกว่า 5 วัน และมีอาการไม่ครบ 4 ข้อใน 5 ข้อ แต่มีการตรวจพบภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease) ก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคคาวาซากิได้

อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วย เช่น ระบบข้อและกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบมักเป็นที่ข้อขนาดใหญ่ มีอาการปวดข้อ ข้อบวม, ระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน ตับอักเสบ, ระบบประสาท เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กร้องกวนมากผิดปกติ, ระบบทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ, อื่นๆ เช่น แผลจากการฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคนูนแดงขึ้น อัณฑะบวม การได้ยินผิดปกติ ผิวหนังปลายมือปลายเท้าขาดเลือดและตาย


อาการแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ การตรวจพบความผิดปกติ หรือการอักเสบของเส้นเลือดหัวใจ อาจทำให้เกิดเส้นเลือดโป่งพอง ตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลิ้นหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ และหัวใจวาย, เส้นเลือดหัวใจโป่งพอง พบได้ประมาณ 20%-25% ของเด็กที่ไม่ได้รับการรักษาแต่ในรายที่ได้รับการรักษาภายใน 10 วันแรกของอาการจะสามารถลดอุบัติการณ์ของเส้นเลือดหัวใจโป่งพองเหลือ 5% ที่มีเส้นเลือดหัวใจโป่งพองชั่วคราว และ 1% ที่มีเส้นเลือดหัวใจโป่งพองขนาดใหญ่ ( > 8 mm. )

สำหรับการรักษา จะเป็นการให้สารอิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ (IVIG) ร่วมกับการให้ยาแอสไพรินในระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้ไข้ลดลงเร็ว และช่วยป้องกันผลแทรกซ้อนต่อหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลีกเลี่ยงการใช้ยา Ibuprofen, วัคซีนเชื้อเป็นควรเลื่อนออกไปหลังจากได้รับ IVIG อย่างน้อย 11 เดือน ( ได้แก่ วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม, วัคซีนอีสุอีใส, วัคซีนไข้สมองอักเสบ)

การพยากรณ์โรค
1. การเริ่มรักษาเร็วให้ยา IVIG เร็วยิ่งดี
2. ขนาดของหลอดเลือดหัวใจโป่งพอง ถ้าขนาดใหญ่ พยากรณ์โรคไม่ดี โดยเฉพาะขนาดใหญ่ >8 เซนติเมตร
3. รูปร่างหลอดเลือดที่โป่งพอง
4. เพศชาย, อายุน้อยกว่า 6 เดือนหรือมากกว่า 8 ปี ร่วมกับมีค่า ESR และ CRP สูง พยากรณ์โรคไม่ดี
5. ตอบสนองไม่ดีต่อยา IVIG ให้แล้วไข้ไม่ลง หรือไข้ลงแล้วกลับมามีไข้ใหม่ พยากรณ์โรคไม่ดี

โรคนี้ถึงแม้ว่ายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็พบว่าเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจในเด็ก ดังนั้นผู้ปกครองควรสังเกตอาการและหากพบอาการผิดปกติควรรีบนำเด็กเข้าพบแพทย์ เพื่อตรวจให้แน่ชัดและให้การรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป เพราะหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป จะทำให้เกิดผลแทรกซ้อนและความพิการต่อหัวใจอย่างถาวรจนยากแก่การรักษาให้หายขาดได้