เดชโรจน์ ตั้งสิน สุขจากงานคือพลังที่ยั่งยืน

คนรุ่นใหม่ที่มารับช่วงกิจการครอบครัว อาศัยจุดเด่นคือ ความกระตือรือร้นเรียนรู้และซึมซับประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ สร้างรูปแบบบริหารเฉพาะตัว
ตระกูลตั้งสินให้กำเนิดโรงแรมแม่น้ำหรือในปัจจุบันชื่อโรงแรมรามาดา พลาซ่า แม่น้ำ ริเวอร์ไซด์ ถึงเวลาส่งต่อไม้ให้กับทายาทรุ่นที่สาม “เดชโรจน์ ตั้งสิน” กับภารกิจในฐานะกรรมการบริหาร โครงการแม่นํ้าเรสซิเดนท์เซอร์วิส คอนโดมิเนียม มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท แน่นอนว่า หน้าที่ความรับผิดชอบนั้นหนักหนา แต่กลับเต็มไปด้วยความสุข
จากโรงแรมแห่งแรกที่มีลิฟต์ให้บริการ เมื่อ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ขยายสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมือของเดชโรจน์ ซึ่งได้รับมอบหมายทันทีที่เรียนจบปริญญาโท โดยมีคุณพ่อ (เดชา ตั้งสิน) หัวเรือใหญ่คอยกำหนดทิศทางการทำงาน
“ผมเริ่มทำงานตอนอายุ 26 ตอนนี้อายุ 28 เรียนจบปริญญาโทก็ทำงานเลย ความกดดันก็มีแต่เป็นแรงผลักดัน เราต้องไม่เครียดและต้องทำปัจจัยให้ดี” บทสนทนาเริ่มแรกเมื่อถูกถามถึงความกดดันของผู้บริหารอายุน้อย
++ บ่มเพาะประสบการณ์ตั้งแต่วัยเรียน ++
ถึงจะเป็น “เด็กจบใหม่” แต่เดชโรจน์สั่งสมประสบการณ์ตั้งแต่สมัยเรียน เพราะขณะเรียนปริญญาตรีและโท เขาฝึกงานในตําแหน่งฟรอนท์ออฟฟิศและวิศวกรในกิจการโรงแรม รวมถึงช่วยงานในโรงแรม Pratunam City Inn ในทุกหน้าที่ ที่สำคัญยังปลีกเวลาไปสร้างร้านไอศกรีม Sato’Soft ที่สยามสแควร์อีกด้วย
การที่เติบโตในครอบครัวในธุรกิจถูกบ่มเพาะให้เป็นเด็กที่ "คิด" ทั้งคิดเอง คิดเป็นและให้คิด เวลามีข้อสงสัยใดๆ คุณพ่อจะไม่เคยตอบแต่ให้คิดว่า มันควรจะเป็นอย่างไร ทุกคนในครอบครัวนี้เลยต้องคิดและเข้าใจเร็ว แถมยังได้รับการปลูกฝังเรื่องพระธรรมคำสอนเยอะมากจากคุณพ่อ
“ท่านจะสอนเรื่องการบริหารจัดการตั้งแต่พื้นฐาน เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย วิธีการสอนของคุณพ่อคือ ให้เงินก้อนไปบริหารจัดการสำหรับใช้ชีวิต 4 ปี ตอนนี้ก็ประมาณ 3 แสนบาทก็ไม่ใช่จำนวนเงินที่มาก คุณพ่อไม่ได้เลี้ยงลูกแบบตามใจเป็นเด็กสปอยล์ ไม่ให้ฟุ่มเฟือย เมื่อผมอยู่ปี 3 เหลือเงินอยู่ก้อนหนึ่งจึงคิดจะทำธุรกิจให้เงินงอกเงย ก็เลยจับมือกับเพื่อนเปิดร้านไอศกรีมแนวซอฟท์ครีม ซึ่งเป็นเทรนด์ที่คนไทยให้ความสนใจในช่วงนั้น”
ธุรกิจแรกในชีวิตประสบความสำเร็จ เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงหนึ่งแสนบาทสามารถต่อยอดมาจนปัจจุบันซึ่งมีถึง 4 สาขา แม้ในช่วงแรก ร้านทำเลไม่ค่อยดี จึงไปเปิดสาขา 2 ที่สยามสแควร์ ใช้เวลาเพียง 4 เดือนก็ได้ทุนคืนแล้ว แต่ที่ดีใจที่สุดของเขาคือ ได้รับการติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์
นอกจากบริหารจัดการธุรกิจไอศกรีมระหว่างที่ยังเป็นนักศึกษา เดชโรจน์ยังต้องฝึกงานที่โรงแรมแม่น้ำ ผลัดเปลี่ยนทุกหน้าที่ทุกแผนก แผนกละ 2-3 เดือน แม้จะเรียนมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่เมื่อต้องทำในตำแหน่งบริหารจึงต้องตั้งใจเรียนรู้เก็บเกี่ยวข้อมูลงานในทุกแผนก
"เราสามารถเอาความรู้พวกนี้มาเก็บไว้ก่อน แล้ววันหนึ่งก็จะได้ใช้เมื่อเข้าไปทำงานก็จะเรียนรู้และเข้าใจได้เร็ว ผมเรียนด้านวิศวกรรมอุตสาหการ ไม่ใช่ทักษะการก่อสร้าง แต่เป็นการบริหารจัดการและวางแผนธุรกิจ"
เขาเลือกเอนทรานส์เรียนทางสายนี้ เป็นสาขาวิชาที่สามารถไปเรียนหรือทำอะไรต่อยอดได้มาก
“ความที่เป็นคนตรรกะสูงมาก ในหัวเราจะคิดถึงการปรับปรุงการพัฒนาระบบต่างๆ พอเรียนแล้วมันซึมเข้าตัวเรา เวลาไปทางด่วนก็จะคำนวณแล้ว รถออกเท่านี้ รถเข้าเท่านี้ หัวผมจะคำนวณ คิดเรื่องบริหารจัดการตลอดเวลา ผมเดินไปแบบนี้ ผมก็จะคิดแล้ว เดินไปทางไหนเร็วกว่ากัน มันเป็นไปโดยอัตโนมัติไม่ได้คิดแบบซีเรียส คิดเพื่อให้กระบวนการทุกอย่างต้องปรับปรุงไปเรื่อยๆ”
++งานหนัก = การเรียนรู้ ++
เมื่อนำข้อดีของตนเองทั้งความเป็นคนตรรกะสูงบวกกับเรียนรู้และทำความเข้าใจได้เร็ว เดชโรจน์จึงเริ่มงานในโครงการใหม่พร้อมกับข้อสังเกตที่ว่า ข้อดีของที่นี่คือจะเอาคนเก่งทุกด้านมาทำงาน แล้วเรารับข้อมูลจากเขา ประมวลผลจากเขา พนักงานทุกคนที่นี่เป็นระดับท็อปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายขาย ฝ่ายออกแบบตกแต่งภายใน เนื่องจากเราใหม่ในธุรกิจจึงเรียนรู้จากเขาแล้วเอามาประมวลผล
เขาค่อนข้างโชคดีที่คุณพ่อเป็นคนสมัยใหม่ ให้โอกาส ให้อิสระตัดสินใจ แต่ก็ต้องรอบคอบ
"คุณพ่อเป็นหัวหน้าและวางโครงการหลักโดยรวม ตัวผมมีหน้าที่ทำทุกอย่าง ช่วงแรกต้องขายก็ต้องทำหน้าที่ขาย ต้องออกแบบก็ต้องช่วยออกแบบ เป็นลูกน้องที่ดีที่สุดแต่เมื่อมีข้อโต้แย้งกับคุณพ่อก็จะคุยกันด้วยเหตุผล ท่านเป็นคนมีเหตุผลมาก"
หากถามถึงความท้าทายและสิ่งที่ยาก มันยากทุกขั้นตอนอยู่แล้ว ปัญหามีแน่นอนตั้งแต่เรื่องการออกแบบ ก่อสร้าง ซึ่งวิธีการแก้ไขของเขาใช้ตรรกะพื้นฐานคือ ปัญหาทุกอย่างต้องแก้ได้
“ช่วงที่เกิดปัญหาแรกๆ ผมอาจจะทุกข์บ้าง แต่คุณพ่อสอนวิธีคิดคือต้องค่อยๆ แก้ปัญหาไป วันหนึ่งก็จะแก้ได้ เจอปัญหาก็มองซ้ายขวา ถอยออกมาบ้าง ผ่านปัญหามาหลายข้อแล้ว บางครั้งถึงกับมึน แต่เราเปลี่ยนไปมากในทางที่ดี ค่อยๆ แก้ไป” เขากล่าวพร้อมชี้ว่า แนวคิดที่ใช้เริ่มจากไม่ทุกข์ แล้วจึงพยายามไปเรื่อยเพื่อหาทางแก้ โดยมีคณะที่ปรึกษาอยู่มาก ค่อยๆ ปรึกษาหาทางออกทุกด้านแล้วประมวลผล ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะคลี่คลายได้
การบริหารคนในแบบฉบับ “เดชโรจน์” คือ ทำความเข้าใจกับพนักงานในองค์กร ไม่ใช้ความดุหรืออำนาจ แต่ให้ความสำคัญกับความเข้าใจ พนักงานต้องไม่ได้ทำงานด้วยความเศร้า ความหวาดกลัวแต่ต้องทำงานอย่างมีความสุข ถ้ามีปัญหาทำไม่ได้ มานั่งคุย ช่วยกันแก้ไข
“ส่วนพนักงานภายนอก เช่น ผู้รับเหมา ข้อด้อยคือ ผมไม่ได้จบด้านนี้โดยตรง ต้องอาศัยการเรียนรู้ ทำความเข้าใจและคุมงานอย่างใกล้ชิด ตอนนี้ความรู้เรื่องก่อสร้างเพิ่มมามาก จากที่ไม่มีเลยก็เริ่มให้คำปรึกษาได้แล้ว และผมเป็นผู้บริหารที่ตัดสินใจได้รองจากคุณพ่อ แต่ไม่ได้ออกความเห็นมาก ผมจะคิดและประมวลผลก่อน ที่นี่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมออกความเห็น ทุกคนเห็นอย่างไร ทุกคนมองคนละมุม แล้วนำมาประมวลผล แล้วได้สิ่งที่ดีที่สุด”
แม้ว่าเขาจะมีวัยวุฒิน้อยกว่าทีมงาน แต่โชคดีที่ผ่านมาการบริหารงานไม่มีปัญหา ไม่ถูกลองของหรือท้าทาย ด้วยนิสัยที่ไม่ใช่คนที่มานั่งสั่งอย่างเดียว แต่ลงไปทำจริงดูแลจริง จึงสร้างความรู้ที่ยอมรับให้เกิดขึ้น
"ผมไม่ใช่ตัวปัญหา ผมรับฟังเขา ถ้ามีปัญหาก็พูดคุยกันตรงๆ เราจะช่วยกันคิด ช่วยกันทำ การทำงานด้านบริหารจัดการ การเข้ากันของทีม ผมประสบความสำเร็จมาก เมื่อเทียบกับตอนเริ่มทำ ตอนนี้ทุกคนกล้าพูด กล้าออกความคิดเห็น ไม่มีใครโยนภาระให้ใคร"
ทักษะของคนรุ่นใหม่ที่จะมาเป็นผู้บริหาร เดชโรจน์มองว่า ต้องถ่อมตัว เรียนรู้ให้เร็วที่สุด แล้วพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าเราทำได้ มันจะเกิดการยอมรับ ที่สำคัญ เราต้องทำ ต้องลงมือเองไม่ใช่แค่สั่ง เมื่อเขาเข้าใจ ก็จะรับฟังเรา
ผลลัพธ์คือ ความสำเร็จจากการขายได้กว่า 90% สำหรับโครงการแม่นํ้าเรสซิเดนท์เซอร์วิส คอนโดมิเนียม หลังจากโครงการนี้ซึ่งจะเสร็จสิ้นปี 2559 เดชโรจน์แย้มว่า กำลังเล็งหาที่ดินผืนใหม่อยู่โดยใช้ประสบการณ์เป็นบทเรียน ซึ่งผิดพลาดมาเยอะแต่ก็เรียนรู้ได้เยอะเช่นกัน
++ Work Life Balance ++
“การทำธุรกิจที่ต้องได้กำไรมากๆ ผมไม่เอาความสุขของผมไปอิงกับความสำเร็จตรงนั้น ผมมีความสุขเรื่อยๆ ทำงานก็อยากให้งานออกมาดี แต่ก็ไม่เอาความสุขมากๆ ของผมไปทุ่มกับมัน ต้องมี Work Life Balance ทำไปมีความสุขไปได้ ผมมีเป้าหมายที่ดี ทีมงานต้องรู้เป้าหมาย ทำได้และเห็นพ้องกันด้วย”
โรงแรมแม่น้ำแบ่งกำไรบางส่วนจากโครงการคอนโดมิเนียมไปสร้างโรงเรียน รับเด็กที่วัดสระแก้วมาเลี้ยงที่โรงแรม ส่งเรียนต่อในชั้นมัธยม ซึ่งทำมา 30 ปี แล้วกระทั่งเด็กเรียนจบปริญญาตรี-โท บ้างเป็นทหารก็มี ตอนนี้โรงเรียนที่ช่วยสร้างขึ้นมานั้นขยายเปิดสอนถึงระดับมัธยมปลาย
"มันเป็นสิ่งที่เราต้องให้ โชคดีของผมคือเป็นคนที่เพียงพอง่าย มนุษย์เราจะหยิบยื่นให้ผู้อื่นก็เมื่อตัวเองรู้สึกพอแล้วหรืออิ่มแล้ว ถ้ายังไม่พอก็ให้แต่ไม่มาก ผมเป็นพอง่าย ผมก็เลยให้ง่าย"
แม้จะสนุกกับการทำงาน แต่ไม่ได้บ้างาน เดชโรจน์เล่าแผนชีวิตของตัวเองในแต่ละวันว่า บางวันตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อออกกำลังกายก่อนทำงาน เขาชอบวิ่ง ถ้าไม่ได้วิ่ง 3-4 วันจะรู้สึกปวดศีรษะไม่สบายตัว ส่วนกิจกรรมบันเทิงเล็กๆน้อยๆคือ ชอบเล่นเปียโนให้สารเอนโดรฟีนหลั่ง ส่วนช่วงเย็นก็ต้องกลับไปกินข้าวกับครอบครัว ถือเป็นเวลาที่ครอบครัวได้คุยกัน ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไปเที่ยวกับเพื่อนหรือไปตีกอล์ฟกับคุณพ่อบ้าง กับเพื่อนบ้าง
ขณะที่คนส่วนใหญ่เลือกชาร์จพลังด้วยการลาพักร้อน แต่เขาก้าวข้ามจุดนั้นไปแล้ว "ผมไม่คิดว่าการหยุดงานไปพักร้อน 7 วัน แล้วจะสร้างพลังทำงานให้ยั่งยืนได้ พลังนั้นอยู่ได้ไม่กี่วันก็มอดได้"
ผู้บริหารอายุน้อยคนนี้ค้นพบว่า ทุกๆ วันทำงานของเขาคือความสุข ซึ่งเปลี่ยนเป็นพลังที่มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน




