รักแล้วอย่าเผื่อใจ นิยามรักจาก 'โทนี่ รากแก่น'

เจ็ดปีในวงการแสดง โทนี่ รากแก่น นักแสดงหนุ่ม เป็นขวัญใจผู้ชม โดยเฉพาะในบทบาทโรแมนติกและสไตล์ส่วนตัวที่โดนใจคอแฟชั่น
ระหว่างเดินสายโปรโมทภาพยนตร์ที่กำลังจะเปิดฉายในวันที่ 27 สิงหาคมศกนี้ เรื่อง “คน อกหัก” (LoveH2O) ซึ่งโทนี่ได้ประชันบทบาทกับสองหนุ่มฮ็อตอย่าง นาวิน ตาร์ และ อนันดา เอเวอริงแฮม พร้อมนางเอกใหม่ หยก- ณัฐปภัสร์ ธนาธนมหารัตน์
โทนี่ เผยเรื่องราวความรัก งานแสดง ความสัมพันธ์ และบทเรียนจากการ “รักแมว” แล้วเขาจากไป การปรับตัวสู่ก้าวใหม่ของอาชีพนักแสดงที่ ต้องทุ่มเท กาย-ใจ อย่างไร
@วันนี้มาโปรโมทหนัง “คนอกหัก ” ขอถามเรื่องความรัก ตามบทเรื่องนี้ โทนี่เล่นเป็นคนอกหัก อยากถามว่า โทนี่มองความรักยังไง ณ วันนี้?
ผมมองความรัก หลักๆ คือ ความเข้าใจครับ ความเข้าใจหมายถึงว่า เข้าใจกัน เข้าใจในสิ่งที่คนหนึ่งอยากจะทำ เข้าใจในสิ่งที่เราอยากจะทำ เข้าใจกันแล้ว มันจะแชร์ความเป็นส่วนตัวกัน แต่ถ้าขาดความเข้าใจ มันไม่ดีเลยนะ ผมว่านะ
@มีบทเรียนความรักอะไรที่คิดว่า สิ่งใด ควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ บ้าง?
สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ รีบ อย่ารีบเกินไปกับความรัก หมายความว่า ถ้าเราเห็นใคร ถูกใจ ได้ใกล้ชิด บางทีมันคือความหลงใหล แต่ความหลงใหลมันเอาใจเราไปหมดแล้ว อยากเจอทุกวัน อยากคุยโทรศัพท์ ฯลฯ กลายเป็นว่า เรารีบไขว่คว้า บางทีเราควรจะอดทนนิดหนึ่ง สมัยนี้เราอาจจะอดทนกันน้อย เพราะอยากเจอก็เจอได้ทันที อยากคุยก็คุยได้ทันที มันไม่เหมือนสมัยก่อน ผมเพิ่งได้เล่นละครเรื่อง เจ้าสาวของอานนท์ จะรู้เลยว่า ความยากในการเจอกันของคนสมัยก่อนมีมาก ไม่แปลกใจเลยที่คนสมัยก่อน แค่เดินผ่าน ชอบกัน ก็แต่งงานกันได้เลย เพราะอยากอยู่ด้วยกันก็ต้องแต่งเลย
แต่สมัยนี้ทุกอย่างเร็ว เรายิ่งต้องช้าลง ต้องให้เวลา ค่อยๆ ศึกษากันไปก่อน ไม่ต้องรีบ
สิ่งที่ควรทำ คือ ถ้าตัดสินใจว่ารักแล้ว อย่าเผื่อใจเลย เพราะเดี๋ยวนี้มันมีอะไรเข้ามาเยอะ เดี๋ยวก็เจอคนสวยเยอะแยะ ถ้าเผื่อใจนิดหนึ่งแค่นิดเดียว แบบว่า คนนี้ถูกใจเราแค่ 80 (เปอร์เซนต์)นะ ไม่ถูกใจตั้ง 20 แน่ะ อันนี้ล่ะแย่แล้ว ถ้าเราจะรัก ต้องรักเขาให้เต็มที่ ในวันที่เขาจากไป เราจะได้ไม่เสียใจว่า เราไม่ได้รักเขาเต็มที่ อันนี้เป็นประสบการณ์จาก การเลี้ยงแมว!! เพราะว่า แมวตัวนี้มันมาเอง มาจากไหนไม่รู้ เข้ามาที่บ้าน เราให้ข้าวมันกิน มันก็มาอยู่ เราก็พาไปหมอ โน่นนี่นั่น ดูแลมัน กลายเป็นรัก และผูกพัน ตั้งชื่อมันว่า โดเรมอน อยู่ๆ ดีวันหนึ่ง มันโดนรถชนตายหน้าบ้านอ่ะ เราก็(ทำหน้านิ่ว) อะไรวะ ไปไม่ถูกเลย
เราไม่เคยผูกพันอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต พ่อแม่เราแยกทางกัน เราไม่ได้รับความรักเต็มที่อยู่แล้ว รักสุดคือแฟนทุกคนที่ผ่านมา รักทุกคน แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่แบบ โหย รักมากแล้วจากไปในทันที มันคือ โดเรมอนจริงๆ มันมาสอนเราเรื่องความรัก ( รักแล้ว)อย่าเผื่อใจ เราชอบเผื่อใจ เพราะเรากลัวผิดหวังเรื่องความรัก
มันทำให้เรารู้ว่า ในวันนั้นที่มันยัง(มีชีวิต)อยู่น่ะ ทำไมเราไม่(ทำเต็มที่) มันอยากกินแซลมอน ทำไมไม่ให้มันกินบ้างเวลามันมานั่งขอ แต่จะให้มันกินแต่อาหารเม็ดของแมว หรือมันอยากขึ้นมานอนด้วย ก็กลัวขนมันจะเข้าจมูก ทำไมเราไม่ทำ เราเผื่ออะไร มีเวลากันแค่นี้ทำไมไม่ทำ
พอเรียนรู้จากเรื่องนี้ ก็เอามาปรับใช้กับส่วนอื่นๆในชีวิตทั้งหมด รักใครก็ทุ่มเทไปเลย ไม่เป็นไรหรอก ถึงเวลาเขาจากไปก็ค่อยว่ากันอีกที
@บอกว่ารักแฟนทุกคน แต่ทำไมเลิกกัน?
มันก็มีจุดน่ะ บางทีก็เป็นเรื่องของนิสัยใจคอบางอย่าง คนเราเวลารู้จักกันแรกๆ ก็ชอบไปหมดทุกอย่าง พอเริ่มรู้จักกันมากขึ้นเห็นด้านบวกและด้านลบของกันและกันมากขึ้น อยู่ที่ว่าเรารับได้หรือไม่ได้ เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดถึงขั้นนี้ คิดแค่ว่า เราไม่ชอบๆ เราไม่ทำความเข้าใจเลย แต่เดี๋ยวนี้เราเริ่มทำความเข้าใจหลายๆ อย่างมากขึ้น (เข้าใจ)ในความเป็นธรรมชาติของสิ่งนั้นจริงๆ
@ภาพของโทนี่ในจอ ทั้งละครและหนัง โทนี่ดูเป็นคน passive ในความสัมพันธ์ของชีวิตจริง เป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า?
ผมว่าโดยธรรมชาติของตัวผมเป็นคน passive อยู่แล้ว มันก็ส่งผลถึงการแสดงด้วย แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่ผมกำลังจะปรับ อย่างเรื่องล่าสุดที่ไปเล่นซีรี่ส์เรื่อง เจ็ดวันจองเวร (ช่องเวิร์คพอยต์) เราต้องเล่นเป็นสาย active ทีมงานเขาก็มองเห็นว่า การมาปรับแค่แอคติ้งมาปรับหน้างานไม่ได้แล้ว ต้องปรับจากตัวตนจริงของเราด้วย เขาก็เลยให้ assignment ผมต้องไปทำโน่นทำนี่ทำนั่น เพื่อให้เราแอคทีฟมากขึ้น เหมือนเราต้องเข้าหามากกว่ารอรับ ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะกับเพื่อน พ่อแม่ แฟนหรือกับใคร เราจะเป็นผู้ฟัง ข้างในอาจจะมีเถียงนะ แต่ไม่มีพูดออกมา
@ในฐานะเป็นไอดอลแฟชั่น เราจัดการกับภาพลักษณ์ยังไง ซีเรียสกับมันมากไหม ให้เวลากับมันมากน้อยแค่ไหน?
เรื่องแฟชั่น ผมให้เวลามันมากกว่าการแสดงอีกนะ มันเป็นสิ่งที่ผมชอบตั้งแต่สมัยเรียนออสเตรเลียแล้ว ไม่เกี่ยวกับว่าเราจะต้องเป็นไอดอลหรืออะไร เพราะนั่นเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องยกให้ ไม่ใช่เราทำเพื่อให้ได้สิ่งนั้น มันเป็นสิ่งเราชอบ ตั้งแต่เป็นช่างทำผม ตั้งแต่อยู่ออสเตรเลีย เราก็บ้าทำสีผม แต่งตัว เพราะเราอยู่ในสังคมเพื่อนๆที่แต่งตัวกันสนุกดี ออกไปด้วยกันแล้วเราบ้าบอกันเต็มที่ มันรู้สึกเราทำอะไรก็ได้ คนอื่นอาจจะมองว่าเราบ้า แต่เราอยู่ในจุดที่เราเป็นอิสระแล้ว
บางทีออกมาเดี่ยวๆ คนอาจจะมองว่า ไอ้นี่มันบ้า แต่เราไม่เอามาใส่ใจ ถ้าไปงานเราก็แต่งตัวตามกาละเทศะบ้าง แต่ในชีวิตประจำวันทั่วไป เรามีความสุขมากเลยนะ ถ้าวันนี้เราจะไปเจอเพื่อน เราจะแต่งตัวอะไรไปเจอเพื่อนดี เช่น วันนี้เราจะไปขี่มอเตอร์ไซค์ เราจะแต่งแนวไหนดี บางทีเราเอามอเตอร์ไซค์มาเป็น items ในการแต่งตัวเสียด้วยซ้ำ
ผมสังเกตว่าพวกสายครีเอทีฟ จะเบื่อง่าย แต่มีอินดัสตรีหนึ่งที่จะไม่อยู่นิ่งคือ แฟชั่น มันไม่เคยหยุดนิ่ง เราจะตกเทรนด์ได้ตลอดเวลา เพราะ(แฟชั่น)มันจะนำเราตลอด เราก็เลยมีความสุขที่จะไปอยู่ในอินดัสตรีนั้น มันไม่รู้สึกเบื่อ เราจะไม่หยุดนิ่ง เดี๋ยวสไตล์วินเทจก็มา เดี๋ยวแนวสตรีท(แฟชั่น)ก็มา มันเปลี่ยนไปเรื่อย เราก็มีความสุขที่จะไปอยู่ในนั้น
และเป็นการดูแลตัวเองไปโดยอัตโนมัติ เพราะเราต้องหาของแต่งตัวให้เหมาะกับตัวเอง ไปไหนเราก็แต่งตัว เราแทบจะไม่ได้เดินออกนอกบ้านในเสื้อกางเกงบอลเลย เราแค่ชอบการแต่งตัว มันสนุกน่ะ เพราะวันนี้เราได้คิดแล้วว่า เราจะแต่งตัวแบบไหน
@เคยมีภาวะวิตกกับภาพลักษณ์ไหม หรือมั่นใจเกินร้อยแล้ว?
ไม่ได้วิตกนะ และไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นด้วย แต่ว่าสำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องน่าเครียดน่ะ มันเป็นเรื่องที่น่าสนุกนะ เอาง่ายๆ items ที่เราซื้อมามันเหมือนเป็นงานศิลปะที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์คนนี้ มันเป็นชิ้นงานที่แตกต่างออกไป บางทีเรายังไม่รู้เลยว่าจะใส่มันยังไงดี แต่เราก็ได้คุยกับเพื่อนแล้ว มันก็คือความสนุกตรงนั้น
@เรื่องทางกายบ้าง สุขภาพดูแลยังไง?
ก็เพิ่งเข้ายิมฯ ตอนที่ไปเตรียมเล่นซีรี่ส์ เจ็ดวันจองเวร เพราะเขาอยากให้เราตัวใหญ่ขึ้น อยากให้ดูเป็นสมาร์ทขึ้น สมกับเป็นตัวละครโดดเดี่ยวต่อสู้ชีวิต แต่เราทำได้กะปริบกะปรอย เพราะการเข้าฟิตเนส มันเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับเรา เพราะมันต้องต่อสู้กับตัวเอง มันไม่เหมือนการเล่นกีฬาแบบเตะฟุตบอล มันสนุกนะมันเป็นเกมกีฬา แต่การเข้าฟิตเนสเป็นการแบกของอ่ะ มันไม่เห็นเป้าหมายว่าอยากได้อะไร เราก็หยุด ทำได้สองครั้งก็หยุด พอเริ่มถ่ายทำจริง ก็ไปถึงจุดที่เขาบอกว่าเรา passive และอยากให้แอคทีฟว่ากว่านี้ แต่ไม่ใช่แค่การแสดง แต่เป็นที่ตัวตนเราเลย พี่จุ๊เขาก็เลยตั้งโจทย์ให้
เขาเคยดูแลศิลปินแกรมมี่มาก่อน เขาบอกว่าเขาเคยให้กอล์ฟ-ไมค์ตื่นมาวิ่งทุกเช้า แต่กับโทนี่เขาจะไม่ทำขนาดนั้น แต่ให้เราลองคิดดูว่า มีอะไรที่เราเริ่มแล้วทำไม่จบ เราก็บอกว่า ฟิตเนส นี่แหละ เขาก็แนะนำให้เราตั้งตารางให้ตัวเอง ต่อให้มันกินเวลาวันที่ถ่ายทำก็ยอม ขอให้ไปจริง และไปด้วย motivation ของตัวเองด้วย เพราะอยากให้มันเป็นตัวเราเองเลย
เราก็เลยบอกพี่เขาว่า พี่มองขาด เราเป็นสาย passive จริงๆ คือถ้าไม่โดนบังคับก็ไม่ทำ เกิดมาไม่เคยบังคับตัวเองทำอะไร เราก็เลยคิดว่า คราวนี้แหละ เราทำก็ได้วะ ก็ได้ไปทำอาทิตย์ละสองวัน แต่มันดีขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเห็น motivation ของตัวเองแล้ว ว่ามีเป้าหมายที่จะเห็นบอดี้ที่ดีขึ้น และไม่ได้ทำเพื่อให้พี่จุ๊พอใจด้วยนะ
ทำ (ฟิตเนส)ไปสิบวัน ก็เริ่มเห็นผล คนรอบข้างเขาก็มองเห็นว่าเราดูแข็งแรงขึ้นและได้ความมุ่งมั่นติดตัวมาด้วย พอเริ่มเห็นผล ก็ยิ่งมีกำลังใจ ก็ฟิตว่า อย่างน้อยอาทิตย์หนึ่งต้องไปฟิตเนสให้ได้สองวัน
@เล่นอะไรบ้างในฟิตเนส?
มียกเวทเสริมอก เสริมไหล่ หน้าแขน หลังแขน กล้ามท้อง เล่นเป็นเซ็ต ๆ ละ 12 ที 4 เซ็ตต่อหนึ่งส่วน และมันมีเรื่องกินด้วย เพราะฟิตเนส 70 เปอร์เซ็นต์คือการกิน 20 เปอร์เซ็นต์คือการเล่น(บริหารส่วนต่างๆ) และอีก 10 เปอร์เซ็นต์คือการพักผ่อน และเราต้องเปลี่ยนวิถีการกิน จากปีที่แล้วผมกินมังฯ มาตลอด
@เพราะอะไรถึงกินมังสวิรัติ?
ผมได้เห็นคลิปที่เขาฆ่าสัตว์ ซึ่งได้ดูตั้งแต่เรียนโฆษณาที่ออสเตรเลียแล้วล่ะ แต่ปีที่แล้วได้ดูอีกที ตอนไปฝึกสมาธิกับโกเอ็นก้า(วิธีการปฏิบัติกรรมฐานสายท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ชาวอินเดีย)เขาไม่ให้กินเนื้อสัตว์ 10 วัน กลับมาก็เลยกินมังฯ ในกองถ่ายก็ขอให้เขาทำอาหารมังฯให้ แต่พอมาเข้าฟิตเนสก็ต้องออกจากมังฯก่อน กินเนื้อมากขึ้น แต่ไม่กินเนื้อวัวนะ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐




