อลิสา พันธุศักดิ์ ท้าทายตัวเองด้วยโยคะ

อลิสา พันธุศักดิ์  ท้าทายตัวเองด้วยโยคะ

'จ๋า-อลิสา' เป็น 1 ในสามใบเถาที่เข้ามาสืบทอดมรดกความบันเทิงที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก ทิฟฟานี่โชว์ พัทยา กำลังท้าทายตัวเองด้วยปรัชญาจากโยคะ

"โยคะ เหมือนการทำธุรกิจ รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง ท้าทายตัวเอง" เป็นสิ่งที่เธอค้นพบหลังจากปฏิบัติโยคะมานาน 6 ปี
“เล่นโยคะครั้งแรก จำได้ว่านั่งหัวเราะตัวเองว่าเล่นได้ยังไงช้าเหลือเกิน ทำไมมันช่างน่าเบื่อขนาดนี้ พอมาอ่านหนังสือใครๆก็บอกว่าโยคะดีมาก เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นมันต้องมีดีสิ! เลยกลับไปลองใหม่ พยายามอดทนเป็นเดือนหลังจากนั้นติดเลย”
ประสบการณ์ตรงจาก อลิสา พันธุศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท ทิฟฟานี่โชว์ พัทยา จำกัด และเจ้าของ ลา บาแกตต์ (La-Baguette) ร้านเบเกอรี่สไตล์ฝรั่งเศสแบรนด์ไทย

๐ รู้จักตัวเอง๐
คุณจ๋า - อลิสา พันธุศักดิ์ แนะนำตัวว่าเป็นคนพัทยาโดยกำเนิด แต่ครอบครัวของบิดามารดา (สุธรรม และอรวรรณ) เป็นคนตรังทั้งคู่
“จ๋าเพิ่งมาทราบเมื่อไม่นานมานี้เองจากการทำประวัติครอบครัวว่าคุณแม่เป็นคนตระกูลทองจันทร์ คุณตาเป็นคนนำคนจีนเข้ามาทำหมูย่าง ตระกูลเราจึงเป็นคนทำหมูย่างเมืองตรัง เดี๋ยวนี้ไม่มีคนในตระกูลทำแล้ว คุณพ่อคุณแม่เป็นเด็กตรัง มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ พ่อกับแม่เจอกันที่บ้านคุณตาที่ตรัง เพราะคุณพ่อสนิทกับน้องชายคุณแม่ หลังจากแต่งงานกัน พ่อทำงานโรงแรมได้สักพักมีคนมาซื้อ ตัวไปทำงานโรงแรมที่พัทยา คุณพ่อกับคุณแม่จึงย้ายถิ่นฐานไปอยู่พัทยา จ๋ากับพี่สาวและน้องสาวเกิดที่นั่น

คุณพ่อทำงานโรงแรมไม่นานก็มาเปิดธุรกิจของตัวเอง เป็นร้านแลกเงินตราต่างประเทศร้านแรกในพัทยา เป็นแห่งเดียวที่มีใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง มีทั้งหมด 4 ร้าน ถือว่าเป็นธุรกิจหลักของบ้านเลย ต่อมาจับธุรกิจโรงแรม และมาเจอคุณอาวิชัยที่ทำทิฟฟานี่อยู่แล้ว คุณพ่อเชิญมาเช่าโรงละคร บอกว่าพ่อสร้างให้ คุณพ่อเป็นนักลงทุน พอสร้างเสร็จคุณอาบริหารไม่ไหว จะเลิกกิจการ คุณพ่อบอกว่าไม่ได้ลูกน้องจะทำยังไง ตอนนั้นมีกระเทยอยู่ 30 คน ไม่สงสารลูกน้องเหรอ จึงตกลงเข้ามาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ และเป็นเจ้าของกิจการในที่สุด"

๐ เข้าใจตัวเอง๐
แม้ว่าครอบครัวจะไม่ได้บังคับว่าจะต้องเป็นผู้รับสืบทอดธุรกิจ แต่ด้วยความคุ้นเคยที่ช่วยทำงานมาตลอดไม่ว่าจะเป็นร้านแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ งานโรงแรมในเครือวู้ดแลนด์

“จ๋าไม่รู้หรอกว่าจะต้องมาสืบทอดธุรกิจครอบครัว ตอนเด็กๆ จ๋ามีความรู้สึกว่าจ๋าทำได้ทุกอย่าง คุณพ่อคุณแม่บอกให้ทำอะไรก็ทำ ช่วยร้านแลกเงิน ส่วนโรงแรมสำหรับเรามันไม่ใช่โรงแรม เป็นสถานที่มีความผูกพัน เหมือนบ้านอีกหลังหนึ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่ในนั้น

คุณพ่อเลี้ยงจ๋าเหมือนคนโรงแรม มีงานเลี้ยง มีกิจกรรมตลอด ไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาส ปีใหม่ต้องจัดงาน กินข้าวด้วยกันในโรงแรม จ๋าไม่ได้เรียนการโรงแรม แต่เรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจ (วิชาเอกการเงินการธนาคาร มหาวิทยาลัย จอร์จ วอชิงตัน, สหรัฐอเมริกา) ตอนปริญญาตรี เรียนรัฐศาสตร์ จุฬา บริหารรัฐกิจ เรียนเกี่ยวกับการบริหารคน การปกครอง การเงิน การคลัง กลับมาทำงานที่บ้านเลย จ๋ายังงงว่าตัวเองมาทำโรงแรมได้อย่างไร แต่เป็นการเรียนรู้หมด เหมือนเรียนหนังสือ อยู่กับคุณพ่อเหมือนเรียนหนังสือกับคุณพ่อ จ๋าเลยมีความรู้สึกไม่ได้กดดันอะไร”

๐ พิสูจน์ตัวเอง ๐
บททดสอบชิ้นสำคัญคือ งานบริหารทิฟฟานี่โชว์ การทำงานท่ามกลางนางโชว์ระดับแนวหน้า ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
“ก็...มีทะเลาะกัน มีอยู่แล้ว ทะเลาะกันตลอด แต่ในการทะเลาะกันนั้น เราใช้เหตุผล ในขณะที่เขาใช้อารมณ์มากกว่าเรา เป็นการวัดความสามารถกัน ถ้าเราทำได้เราต้องพิสูจน์ว่าเราทำได้ จนปัจจุบันเขารู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน”

ความอาวุโสที่น้อยกว่า และความเป็นผู้หญิง ในสถานการณ์นี้ถือว่ายากที่จะยอมรับ คุณจ๋าบอกว่า “มันไม่ใช่แค่นั้น กระเทยที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ยอมรับผู้หญิงอยู่แล้ว มันยากนะ ...เขาชอบผู้ชาย จะให้เขามาชอบผู้หญิงได้ยังไง

จ๋าอยู่กับลูกน้องก็ต้องยกให้เขาทุกอย่าง แต่ว่าถ้าเป็นระเบียบ สิ่งที่ต้องการ จ๋าจะพูดตรงไปตรงมา อะไรได้ อะไรไม่ได้ ผลที่ต้องการ สิ่งที่ได้รับคืออะไร จ๋าจะพูดหมด ให้เขาเข้าใจ แต่พอเขาเชื่อมือเราแล้วนะ เขาทำตาม เขาทำให้ทุกอย่าง นี่คือหัวใจของนักแสดง ใจเขาเป็นศิลปิน

กว่าจะได้ใจต้องใช้เวลานานนะคะ ตอนแรกที่จ๋าเข้าไปดูแลทิฟฟานี่ไปในเรื่องก่อสร้างเยอะมาก เพื่อให้มีสแตนดาร์ด จ๋าก็สร้างๆๆ เขาก็เห็นจ๋าเดินไปเดินมา ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องการแสดง พอปีที่สองจ๋าเข้าไปเกี่ยวเรื่องการแสดง เขาก็จะเริ่มรำคาญ

ทุกครั้งที่ทำงานกับเขาเหมือนจ๋าต้องทำคะแนน ความยากขึ้นอยู่กับหัวหน้านะ ไม่ได้ยากกับลูกน้อง ถ้าหัวหน้ายอมรับเรา ลูกน้องก็พร้อมยอมรับอยู่แล้ว อยู่ที่แมสเสจจากหัวหน้า ถ้าหัวหน้าพูดถึงเราไม่ดี ก็คือไม่ดี

จ๋าไม่คุยกับลูกน้องนะ เพราะลูกน้องจะฟังแต่หัวหน้า ถ้าเมื่อไหร่เราคุมหัวหน้าไม่ได้ ลูกน้องก็เมินซะเถอะ เดี๋ยวนี้หัวหน้ากับเราเป็นทีมเดียวกัน เมื่อก่อนคุณพ่อจะไม่ดูแลเรื่องโชว์ แต่จ๋าไปอยู่ตรงกลาง ระหว่างเมเนจเม้นท์กับโชว์ ต้องประชุมกับหัวหน้าโชว์ ไดเรคเตอร์เทคนิค กับช่าง กับทุกอย่าง"

๐ท้าทายตัวเอง๐
ทุกวันนี้ ทิฟฟานี่โชว์ พัทยา จัดเป็นแบรนด์ที่เข้มแข็ง มีชื่อเสียงในระดับประเทศ แต่สำหรับคนทำงานโชว์ต้องเดินหน้าต่อไป

“สิ้นปีนี้จะมีโชว์พิเศษที่แหวกแนวไปกว่าเดิม การทำงานของจ๋า คือต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ คนอื่นเขาขยับแล้ว เราไม่ขยับได้ยังไง ต้องแข่งกับตัวเองถ้าไม่ทำตัวเองก็อยู่อย่างนั้น คู่แข่งในประเทศเราก็ไม่มี คนเทียบโชว์ของเรากับระดับต่างประเทศ

ทุกปีจ๋ากับทีมงานจะตระเวนไปดูโชว์ในต่างประเทศด้วยกัน โชว์ที่ดีที่สุดอยู่ที่อเมริกา ในยุโรปโชว์ดีสุดคือ เยอรมนีซึ่งมีเทคโนโลยีดีเลิศ
จ๋าบอกได้เลยนะโชว์ของเรายังดูเอนเตอร์เทนมากกว่ายุโรปอีก พูดจริงๆ นะว่าของไทยกินขาด โชว์บางที่นะดูแล้วหลับ จ๋าดูโชว์ทุกแบบนะคะไม่ได้ไปก้อปปี้ แต่ไปดูเทคนิค บางที่ไม่ได้มีเวทีใหญ่โตนะ แต่เทคนิคกับครีเอทีฟนั้นสุดยอด เงินน่ะสร้างเวทีอะไรก็ได้ แต่คนอย่างเราต้องใช้สมอง เพื่อให้โชว์ของเรามีบุคลิกและเป็นของมีค่า

นอกจากจะทำธุรกิจแล้ว จ๋าก็เคยมีโอกาสในการทำงานด้านสังคม ตอนนั้นเคยได้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2550 ซึ่งตอนนี้ไม่ได้ใช้แล้ว และก็ทำในเรื่องของสิทธิของเพศหญิงเพศชายหรือเพศที่มีความหลากหลาย เลยมีความเด่นในเรื่องของการทำงานด้านนี้ ก็เลยได้รางวัล ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งเป็นความภูมิใจที่สุด

๐อยู่กับตัวเอง๐
ในหนึ่งวันใช้เวลาอยู่กับคนอื่นตลอด ขอ 45 นาทีให้กับตัวเอง
“ก่อนเล่นโยคะ จ๋าเล่นกีฬาทุกอย่าง ดำน้ำ สกีหิมะชอบเล่นที่ญี่ปุ่นเพราะมันหนาวมากเล่นแล้วสนุก ทุกวันนี้ยังเล่นสกีอยู่ แต่ระวัง เมื่อก่อนไม่เคยกลัวความสูง เดี๋ยวนี้เริ่มเสียว ไม่เคยเจออุบัติเหตุ เพราะว่าจ๋าเป็นคนระวัง เมื่อก่อนนะทำทุกอย่างออกกำลังกายทุกอย่าง

ไปดำน้ำ คุณพ่อบอกว่าไปทำไมเดี๋ยวก็ตายหรอก ว่าได้ที่ไหนห้ามยังไงก็ไป ชอบดำน้ำ ตอนนี้ไม่ค่อยได้ดำแล้วเพราะไม่มีเวลา การดำน้ำต้องหายไปจากโลกนี้สักหนึ่งอาทิตย์ ลูกน้องโทรตามไม่ได้เพราะอยู่ใต้น้ำ เราก็นิสัยขี้เป็นห่วง พอโทรติดต่อไม่ได้เริ่มเป็นห่วงแล้ว

ตอนนี้เล่นโยคะอาทิตย์ละ 3 วัน เมื่อก่อนจ๋าอ้วนง่าย เพราะเป็นคนตัวใหญ่ สูง เหมือนกระเทยไง (ยิ้ม) จ๋าเลยเห็นว่าโยคะดีเพราะไม่มีโยโย่เหมือนไปเล่นอย่างอื่น เช่น ขี่จักรยานจะอ้วนไว คือขี่จักรยานเสร็จแล้วโหยนะ เราจะกินไก่ได้เป็นตัว จริงๆเคยกินมาแล้ว เพราะว่ามันหิวไง

พอมาเล่นโยคะกินดีเพื่อสุขภาพไปโดยปริยาย เนื้อไม่ค่อยกินเลย เพราะเล่นโยคะมันจะหนัก เวลาที่เรากินเนื้อเข้าไปก็จะก้มไม่ถนัด กินก็ไม่ค่อยย่อย อืดไปหมด แต่ชอบกินเนื้อนะ เดือนหนึ่งกินสักครั้ง แต่ไปญี่ปุ่นไปทีไรกินมากมายมหาศาล อ้วนน่ะอ้วน แต่รูปร่างจะทรงไม่อ้วนไวถ้าเล่นโยคะ

การเล่นโยคะ แรกๆ เหมือนตัวผิดที่ผิดท่าไปหมด ยักแย่ยักยัน หลังๆ เริ่มเป็นความท้าทาย เล่นโยคะมันท้าทายตัวเอง เหมือนทำบิสซิเนสเลย รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง ท้าทายตัวเอง อยู่ในเสื่อผืนเดียวไม่ต้องมองคนอื่นเลย ท้าทายว่าท่านี้เราจะทำได้มั้ย ไม่ต้องมองคนอื่นนะรู้ตัวเองว่าท่านี้เราทำได้แค่ไหน เป็นปรัชญา มีผลต่อร่างกาย วิธีคิด การหายใจ โยคะคือหายใจลึก หายใจดี มีสติ มีสมาธิ ดีทุกอย่างนะ

ได้อยู่กับตัวเอง วันหนึ่งของเราไม่ได้อยู่กับตัวเอง แต่ 45 นาทีของโยคะเป็นเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง หลับไปเลยนะหลังจากปฏิบัติโยคะ แล้วอยู่ในท่าศพ จ๋าหลับไปเลย 5 นาทีนั้น จากนั้นตื่นขึ้นมาทำงานต่อได้ทั้งคืน เหมือนกับแบตเตอรี่เต็มแฮปปี้มาก”
รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง ท้าทายตัวเอง และ แข่งขันกับตัวเอง คือ วิถีคิดแบบ อลิสา พันธุศักดิ์ สาวโสดวัยสี่สิบตอนต้นที่ดูดีจนลืมกระพริบตา