นักฟิสิกส์มาดเซอร์

นักฟิสิกส์มาดเซอร์

นักฟิสิกส์หนุ่ม "วรวรงค์ รักเรืองเดช" มาด้วยลุคเซอร์เนี้ยบไว้เครานิดๆ นอกสอนอยู่ที่ มจธ. ยังสวมหมวกรองโฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ อีกด้วย

ย้อนไปในวัยเด็กของดร.โอ หรือ ด.ช.วรวรงค์ รักเรืองเดช พื้นเพเป็นคนยะลา คุณพ่อคุณแม่เป็นครู คุณพ่อจบศึกษาศาสตร์ทางด้านสาขาฟิสิกส์ แต่ทำงานเป็นนักนิเทศศึกษา ส่วนคุณแม่เป็นครูอนุบาลปัจจัยที่กระตุ้นให้เขาเกิดจากการเรียนรู้ประสบการณ์จากพ่อในการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยตนเอง บางครั้งเขาก็ไปช่วยพ่อทำใช้เวลาทั้งวัน หากซ่อมไม่ได้จริงๆก็เอาไปให้ช่างซ่อม

"พอเห็นบ่อยๆเข้าก็เกิดความอยากรู้ยากเห็น ทำให้รู้สึกว่า เราชอบเห็นอะไรใหม่ๆแปลกๆ ชอบทดลองทำ ดีไม่ดีช่างมันแต่ขอให้ได้ทำ เวลาที่จะถอดอะไรออกมา จะเรียนชิ้นแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ ได้เป็นอะไรที่รู้สึกว่าสนุกและชอบ"

จนกระทั่งม.3 สอบคัดเลือกเป็นผู้แทนจังหวัดยะลาของค่ายทางช้างเผือกที่ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ ได้เจอนักวิทยาศาสตร์ และกลุ่มคนที่ชื่นชอบวิทยาศาสตร์เหมือนกันมาคุยกันทำให้รู้สึกอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์มากขึ้น ดร.โอ เล่าว่า อาชีพในฝันช่วงวัยเด็กมีอยู่ 3 อาชีพ คือ 1. วิศวกร เพราะรู้สึกน่าสนุกได้คุมงานก่อสร้าง 2. สถาปนิกเพราะชอบวาดรูป อยากเขียนแบบ 3. นักวิทยาศาสตร์ เพราะหลังจากเข้าค่าย รู้สึกการเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่สนุกและท้าทาย ไม่ต้องทำอะไรซ้ำๆกัน ได้ทำอะไรใหม่ๆ ตลอด

จากนั้นก็สอบชิงทุนของโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ช่วงม. 4 จึงย้ายมาเรียนที่ หาดใหญ่วิทยาลัย เรียนปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากนั้นสอบชิงทุนไปประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาต่อ ที่ Rochester Institute of Technology สหรัฐอเมริกา จบปี 2 จึงย้ายไปเรียนที่ University of Rochester, USA เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ได้เข้าศึกษาในระดับปริญญาโท-เอก ที่ University of Arizona, USA

"ตอนนั้นผมอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะจะได้ทำอะไรใหม่ๆไม่ได้ คิดอะไรมากมาย รู้สึกสนุกกับสิ่งที่ได้พบเห็น อาจะเป็นคนที่ชอบเรียนรู้อยู่แล้ว พอเห็นอะไรใหม่ๆจะรู้สึกตื่นเต้น สนุกกับมันไปเรื่อยๆ "

จากนั้นได้กลับมาใช้ทุนด้วยการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ระหว่างนั้นเอง นักฟิสิกส์หนุ่มได้มีโอกาส นำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เข้าไปถ่ายทอดผ่านจอโทรทัศน์ในรายการวิทยสัประยุทธ์ เป็นรายการเกมโชว์ด้านวิทยาศาสตร์ และรายการวิทย์สู้วิทย์ เป็นรายการเกมโชว์ควิซโชว์แนววิทยาศาสตร์ ปัจจุบันได้เบรกงานในส่วนนี้ไปเนื่องจากเข้ามาเป็นรองโฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ยังเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนกำเนิดวิทย์ โครงการแข่งขันฟิสิกส์สัประยุทธ์

ด้วยความที่เป็นคนนักวิทยาศาสตร์ รุ่นใหม่ ไฟแรง จึงเป็นที่น่าจับตามองของคนในวงการ ที่สำคัญ "ทักษะ" การสื่อสาร อธิบายเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากถือเป็นจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว

"ผมเป็นแบบนี้มานานแล้วนะ (หัวเราะ) อาจะเป็นเพราะผมพยายามฝึกตัวเองทุกๆวันว่า สิ่งที่ผมพูดคนอื่นจะเข้าจะไหม พยายามมองกลับว่า สิ่งที่คนฟังเขาอยากได้คืออะไร ขนาดไหน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น เวลาที่เราสื่อสารกับใครสักคนเราจำเป็นมากที่ต้องพูดในสิ่งที่เขารับได้ โชคดีที่ผมมีโอกาสในการฝึกเวลาที่ทำรายการ เช่น ฟิสิกส์สัประยุทธ์ ต้องใช้คำพูดที่กระชับ เข้าใจง่าย พยายามยกตัวอย่างให้ เห็นภาพขึ้นมา ในรูปแบบของการเป็นคอมเมนเตเตอร์ "

ด้วยหน้าที่การงานที่ต้องให้รับผิดชอบมากกว่าหนึ่งอย่างในเวลาเดียวกัน ของดร.วรวรงค์ จึงต้องพยายามบริหารจัดการเวลาให้สมดุล และมีประสิทธิภาพ โดยการฝึกฝนระหว่างเวลาที่เปลี่ยนงานจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่งต้องเก็บงานเก่าไว้ก่อนแล้วไปโฟกัสงานใหม่ทำให้โหมดการทำงานเดินหน้าไปต่อได้ทันที นอกจากนี้เขาพยายามใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพที่สุดเนื่องจากต้องการให้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุด เพราะมีลูกสาวน่ารักด้วยกัน 2 คนคือ ด.ญ.ภริมา รักเรืองเดช หรือน้องภริม เรียนอยู่ชั้นป.3 และด.ญ.นพรรษ รักเรืองเดช หรือน้องแพร เรียนอยู่ชั้น ป.1 ที่อยู่ในวัยการเรียนรู้

ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ คือ เวลาที่ดร.โอและภรรยา (พรอุมา รักเรืองเดช ) ใช้เวลาอยู่กับลูกถือเป็นเวลาของครอบครัว เขาจะใช้เวลาเล่นกับลูก เวลาลูกหลับจะตื่นขึ้นมาทำงานต่อ หรือบางครั้งก็จะพาครอบครัวมาทำงานด้วย เช่น งานสัมมนาต่างๆจะชวนพวกเขาเดินทางไปด้วยกัน อย่างน้อยลูกๆจะเกิดการเรียนรู้ เวลาที่เห็นพ่อทำงาน ทำให้เข้าได้เรียนรู้และคิดได้เหมือนกัน แต่เขาจะพยายามที่จัดเวลาให้อยู่ด้วยกันให้มากที่สุด เพราะเวลางานเยอะๆ บางครั้ง เราไม่มีเวลาให้ครอบครัวเต็มที่ ฉะนั้นเวลาที่อยู่กับลูกก็จะเล่นกับลูกตลอดเวลา

คิดอย่างนักวิทยาศาสตร์
แนวทางในการเลี้ยงลูก ดร.โอ บอกว่า เหมือนการทดลองวิทยาศาสตร์ ยกตัวอย่าง ลูกคนแรกทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่หมด เหมือนการเริ่มต้นทดลอง ต้องลองผิดลองถูกว่าอะไรใช่สำหรับเขา อะไรที่ไม่ใช่ เช่น อยากรู้ว่าลูกชอบรับประทานอะไร ก็ต้องลองให้เขาชิมก่อน ระยะแรกๆก็ล้มลุกคลุกคลานพอสมควร พอลูกคนที่สองก็เหมือนกับลูกคนแรก เนื่องจากสภาพแวดล้อมต่างกัน คนแรก ดร.โอกับภรรยาเลี้ยงเองจนกระทั้ง 2 ขวบ ส่วนลูกสาวคนเล็กเกิดขึ้นมาก็มีคุณปู่ คุณย่ามาดูแลแล้ว

"ทุกอย่างก็ต้องปรับและเรียนรู้กันไป ผมว่าถ้าจะให้ลูกเรียนรู้ได้ดีที่สุด เขาต้องทำเอง ถ้าลูกเดินแล้วล้มผมก็จะไม่วิ่งเข้าไปช่วย ผมจะปล่อยให้เขาลุกขึ้นเอง เขาจะมีประสบการณ์มากขึ้น"
เมื่อถามว่า อยากให้ลูกเป็นนักวิทยาศาสตร์ไหม ดร.วรวรงค์ บอกว่า อยากให้เป็น แต่คงไม่ได้บอกหรือบังคับให้เป็น แต่จะมีวิธีการก็คือพยายามหากิจกรรมเสริมประสบการณ์ให้เขาได้ฝึกได้คิด ได้ทำอะไรมากขึ้น เพราะเขาอยากให้ลูกได้ฝึกวิธีคิดที่เป็นระบบ เนื่องจากจะทำให้สามารถจัดการข้อมูลได้มหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนพอสมควรและสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเขาในอนาคต ลูกสาวคนโตจะมีลักษณะการคิดเหมือนผมค่อนข้างเยอะ ชอบเรียนรู้ ชอบหาคำตอบ ชอบอะไรที่ท้าทาย บางที่ชอบแข่งกับเด็กผู้ชายไม่ยอมแพ้จะเป็นคนที่สู้ จำเก่งฉลาด ชอบความท้าทาย ส่วนคนเล็กจะออกแนวสนุกสนาน ตลก ช่างสังเกต เรียนรู้เร็ว

สำหรับชีวิตรักของนักฟิสิกส์หนุ่มคนนี้จะแปลกและแตกต่าง ด้วยพื้นฐานของภรรยาเรียนรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งเป็นคนละแนวกับเขา แต่ความที่เธอเป็นคนลุย สนุกสนาน เมื่อคบกันแล้วรู้สึกว่า มันคลิกและต่างคนต่างยอมรับในความเป็นตัวของตัวเองอีกฝ่ายหนึ่งจากประสบการณ์ ดร.โอ บอกว่า ชีวิตคู่ไม่มีทางที่คนหนึ่งจะอยู่เหมือนเดิมแล้วอีกคนจะต้องปรับหาฝ่ายเดียว แต่ทั้งคู่ต้องปรับตัวเข้ามาอยู่ตรงกลาง

ที่ผ่านมาภรรยาเสียสละยอมทิ้งหน้าที่การงานไปอยู่ที่ต่างประเทศด้วยกัน ส่วนตัวเขาไม่ได้ปรับตัวอะไรพิเศษเพราะเป็นคนที่เข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว และยอมรับในความแตกต่างฉะนั้น วิธีคิดบางอย่างเราก็รู้ว่า เราคิดต่างกันเพราะต่างคนต่างมีพื้นฐานที่ต่างกัน เวลาที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน หากอยู่ในอารมณ์ร้อนก็ต้องปล่อยไปก่อน ต่างคนต่างเงียบ ผ่านไปสักพักต้องคุยกันว่า เขาไม่ชอบอะไร เราไม่ชอบอะไร ต้องยอมรับความจริงเพราะเราคุยกันเพื่อแก้ปัญหาในอนาคต ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก การคุยกันจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่เขาและภรรยายอมรับ

"คนเรามีความคิดแตกต่างกัน เรายึดถือแต่วิธีคิดของเราคนเดียวไม่ได้ ต้องรู้จักที่จะทำความเข้าใจกับมุมมองความคิดที่แตกต่างของแต่ละคน เช่น เด็กศิลป์คิดอย่าง เด็กวิทย์ก็มักคิดอีกแบบหนึ่ง เราต้องดูว่าแต่ละคนมีพื้นฐานอย่างไร"

Work Hard Play Hard
สไตล์การใช้ชีวิต ดร.โอ ตรงคอนเซ็ปต์ Work Hard Play Hard พิสูจน์ความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้ ทุกอย่างเขาทำ " เต็มที่" สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การจัดลำดับความสำคัญของงาน ที่ผ่านมาหลายคนสงสัยว่า บุคคลิกภาพดูของดร.โอ ไม่เหมือนนักวิทยาศาสตร์ เขาวิเคราะห์ให้ฟังว่า อาจจะเป็นเพราะเป็นเด็กกิจกรรมมาก่อน สมัยเรียนก็เคยเป็นกรรมการนักเรียน ได้มีโอกาสทำงานกับคนหลายๆฝ่ายตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็ทำกิจกรรมได้มีโอกาสคุยรุ่นพี่ที่อยู่ในสโมสรนักศึกษา ไม่ได้หมกตัวอยู่กับตำราเรียนอย่างเดียว

จากประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่หลากหลายทำให้เขาได้มีโอกาสได้สัมผัสกับบุคคลต้นแบบหลายๆคน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีสิ่งดีๆที่ต่างกัน อาทิ อาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียนปริญญาเอก จะสอนวิธีการคิดว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ วิธีการคิดเชื่อมโยงกันในหลายๆส่วน ขณะที่ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ที่ปรึกษามหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีให้โอกาส สร้างแรงบันดาลใจทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คิดแบบเป็นระบบ ดร.วรวรงค์ นำโมเดลเหล่านี้มาประติดประต่อกัน และนำมาปรับใช้กับตนเองให้เหมาะที่สุด เพราะผมคงเหมือนใครสักคนไม่ได้ทั้ง100%

หากให้นิยาม ผู้ชายที่ชื่อ วรวรงค์ รักเรืองเดช คือ เป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง วิ่งหาโอกาส และทำมันให้เต็มที่ ทำให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ " ผมเป็นคนที่วิ่งหาโอกาศและใช้โอกาสนั้นในการทดลอง ทดสอบและดึงศักยภาพตนเองออกมาใช้ โดยไม่กลัวในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้ผมต้องคิด ศึกษาข้อมูล เพื่อหาโอกาสและเรียนรู้สิ่งต่างตลอดเวลา ที่สำคัญทำให้ผมรู้สนุกกับมัน"

เพราะความสุขของดร.วรวรงค์ ก็คือ ทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างผลงาน ที่เขารู้สึกภาคภูมิใจคือการเข้าไปมีส่วนร่วมโรงเรียนกำเนิดวิทย์ เพื่อสานฝันของดร.ธงชัย ชิวปรีชา ทำให้คนเชื่อมั่นในสิ่งใหม่ๆให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างตำนานโรงเรียนวิทยาศาสตร์แห่งแรกในประเทศไทย ส่วนเป้าหมายที่ท้าทายในอนาคต คือการเป็น" ตัวกลาง" ในการประสานงาน หรือเชื่อมต่อ ระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยจะมีงานวิจัยและพัฒนาอยู่ค่อนข้างเยอะ โดยมองในลักษณะซัพพลายไซด์มากกว่า ผมอยากเป็นตัวเชื่อม 2 ส่วนนี้เข้าด้วยกันเสมือนเป็นการตอบแทนสังคม
ด้านแนวทางการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ ของตนเองนั้น ดร.วรวรงค์ บอกว่า การที่ได้อยู่กับครอบครัวถือเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด เวลาที่ไม่สบายใจ ก็จะเล่นกับลูก ทำอะไรที่สนุกสนาน เล่นเกม ทำให้คลานเครียด ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ส่วนสุขภาพร่างกาย พยายามหาโอกาสออกกำลังกายด้วยการเดิน จากสมัยก่อนเล่นกีฬา บาส บอล แต่เมื่ออายุมากขึ้น สภาพร่างกายไม่อำนวย เข่าเริ่มมีปัญหาจึงต้องเปลี่ยนแนวทางการออกกำลังกายด้วยการตีแบต ส่วนอาหารรับประทานตามปกติ