เอมี่ ชีวิตดีดีในออฟฟิศ

เอมี่ กุลโรจน์ปัญญา หนึ่งในผู้บริหารกูเกิลไทย มาพร้อมรอยยิ้มสว่างสดใส และเสียงหัวเราะอบอวลภายในบรรยากาศบนตึกสูงกลางกรุงเทพฯ
ร่างสูงของสาวผมสั้นเคลื่อนตัวไปอย่างว่องไวผ่านประตูบานเลื่อน นำทางสู่ห้องอาหารประจำสำนักงาน รอยยิ้มสดใส บุคลิกว่องไวและเสียงหัวเราะอบอวลภายในบรรยากาศบนตึกสูงกลางกรุงเทพฯ เอมี่ กุลโรจน์ปัญญา สาวตะวันตกที่เป็นสะใภ้เมืองไทย เป็นเสมือนต้นแบบตัวเป็นๆ ของ "ชีวิตดีๆ ในที่ทำงาน"
เจ้าแห่งธุรกิจไอทีได้ชูธงบรรยากาศการทำงานดี กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากร และความสนุก ท้าทายในภารกิจหัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรและมวลชนสัมพันธ์ ประจำประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซียและตลาดเกิดใหม่ Google เอเชียแปซิฟิค
ภารกิจในเนื้องานของเอมี่ เริ่มโจทย์ที่ต้องขับเคลื่อนภาพลักษณ์ขององค์กร รวมทั้งงานด้านการสื่อสารต่างๆ กับทุกหน่วยงาน เพื่อก่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อผลิตภัณฑ์และโปรแกรมต่างๆ ให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคและนักธุรกิจชาวไทยเข้าสู่โลกออนไลน์ให้มากขึ้น สร้างการเติบโตให้กับเนื้อหาที่เป็นภาษาไทยบนเว็บ และเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตของไทยให้รุดไปข้างหน้า
ก่อนร่วมงานกับ Google เธอมีประสบการณ์ทำงานใน 15 ประเทศในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิคให้กับ บริษัทโคคา-โคล่า บริษัทซินเจนทา และสำนักงานคณะกรรมการกำกับการค้าระหว่างประเทศของออสเตรเลีย (Austrade) มีประสบการณ์ด้านการตลาดในประเทศที่กาลังพัฒนามากว่า 12 ปี สามารถพูดภาษาในเอเชียได้หลายภาษา และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในงานพัฒนาชุมชน โดยร่วมมือกับองค์กรระดับรากหญ้าต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นทั้งอาสาสมัครและที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร
๐ Work life Balance สำหรับคุณคืออะไร?
คำว่าสมดุลของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ สำหรับเอมี่ อย่างการแบ่งเวลากับการทำงาน คำว่านอน 7-8 ชั่วโมง จึงเพียงพอ แต่สำหรับเอมีคิดว่า อาจจะไม่จำเป็น มันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เอมีเคยชินกับการนอนน้อยกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้รู้สึกว่า ตัวเองเสียอะไรบางอย่าง
ในเชิงของความสมดุลความต่างกันนั้นขึ้นอยู่กับสถานที่ทำงาน แต่ละบริษัทและแต่ละคนรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขาทำอยู่ เช่น คนๆ หนึ่งบอกว่า เขาต้องกลับบ้านเลิกงานตอน 5 โมงเย็นเพราะเข้างานเช้า แต่อีกคนเขาต้องการทำงานเลิกดึก เพราะเข้ามาทำงานสาย นั่นคือบาลานซ์ของเรา
ส่วนตัวเอมี่เองเป็นคนตื่นเช้าจึงเข้าออฟฟิศเช้า และอีกเหตุผลคือเราขับรถมาทำงาน ต้องเลี่ยงรถติด ข้อดีของการเข้าออฟฟิศเช้า ในขณะเดียวกันคือมีเวลาได้ออกกำลังกายก่อนเริ่มงาน อำนวยให้เราหาเวลาออกกำลังกายตรงนั้น
๐ บรรยากาศที่ทำงานแบบกูเกิ้ล ซึ่งเน้นกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างไร?
ตอนนี้คิดว่า หลายบริษัทๆ พยายามสร้างบรรยากาศและจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการทำงาน (สร้างสรรค์) ไม่ใช่แค่ออฟฟิศกูเกิ้ลที่เดียว สมัยก่อนมันเป็นเพียงวิธีคิด ออฟฟิศหรือบริษัททั่วไปยังไม่นำมาใช้จริง ที่นี่ (ออฟฟิศกูเกิ้ล กรุงเทพฯ) รูปแบบของการออกแบบออฟฟิศ ต้องอำนวยให้พนักงานสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเข้าหากันและทำงานร่วมกันง่าย และสามารถรู้สึกผ่อนคลาย
ซึ่งเราพูดถึงความคล่องตัวหรือความตั้งใจในที่ทำงาน กับการผ่อนคลาย อยู่ในที่เดียวกัน ฟังดูเหมือนมันจะขัดแย้งกันหรือเปล่าใช่มั้ย แต่ว่ารูปแบบของการออกแบบบริเวณของออฟฟิศที่นี่ คือ ต้องมีมุมต่างๆ ตอบโจทย์เป้าหมายที่ว่ามาทุกข้อ
ยกตัวอย่าง ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่ห้องอาหารของออฟฟิศ ซึ่งออฟฟิศอื่นๆ ก็อาจจะมีห้องอาหาร สำหรับที่นี่สามารถมาทานได้ตลอดเวลา เรามีอาหาร มีผัก มีผลไม้ (สลัดบาร์ และบุฟเฟต์ มุมกาแฟเครื่องชงสำเร็จรูป) กับข้าว หรืออาหารทานเล่น ไว้สำหรับพนักงาน แวะมาทานได้ตลอดเวลา เช้า-บ่าย-เย็น ช่วงบ่ายๆ เราก็มีขนมไว้ตลอด
๐ ฟังดูเหมือนเป็นการสปอยล์พนักงานหรือเปล่า?
(หัวเราะร่วน) อย่างที่บอกว่า มัน(เอื้อ)อำนวยในการทำงาน และที่นี่ ออกแบบที่นั่งในห้องอาหาร ไม่ให้นั่งเดี่ยวๆ จะเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ก็ตาม เราออกแบบห้อง(ที่นั่ง) ให้คนได้มีส่วนร่วมกัน ให้คนได้นั่งทานอาหารร่วมกัน ในตอนทำงานทุกคนก็ยุ่งกับงานตัวเอง แต่พอพักเที่ยงปุ๊บ มันเป็นช่วงเวลาผ่อนคลาย เขาจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกันโดยธรรมชาติ ไม่ได้เป็นการรายงานให้ใครฟัง แต่มันเกิดการพูดคุยในโต๊ะอาหารว่า "เราเจอปัญหานี้นะ มีใครเคยเจอไหม?" หรือ "เรามีไอเดียแบบนี้ มันอาจจะแปลกหน่อยอยากฟังไหม?"
อะไรแบบนี้ มันเกิดการคุยกัน และนวัตกรรมอาจจะเกิดมาจากตรงนั้น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ วิธีการทำงานของแต่ละคนให้ได้ผล ก็อาจจะเกิดได้ เพราะเขาได้แบ่งวิธีคิดแบ่งประสบการณ์กัน ซึ่งว่าไปแล้ว มันค่อนข้างตรงกับวัฒนธรรมไทย เพราะอาหารจะเกี่ยวข้องกับชีวิตคนไทย เอื้ออำนวยให้เกิดการพูดคุยกัน
นอกจากมุมอาหารก็มีอีกสองสามมุมที่ไม่เป็นทางการ มีมุมที่เรานัดเจอกันไม่ใช่รูปแบบห้องประชุม เพราะมุมนั้นจะไม่มีผนัง เป็นมุมเปิดๆ มีโซฟาตั้งและเก้าอี้วาง มีมุม (โต๊ะติดผนังกระจกและเก้าอี้สูงมองเห็นวิวกรุงเทพฯ) ที่มานั่งทานข้าวได้ ให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านของตัวเอง พื้นที่แบบนั้นจะปรับให้คนทำงานรู้สึกไม่เหมือนการอยู่ในห้องประชุมหรืออยู่ในบอร์ดรูมมากเกินไป
กูเกิ้ลยังมีนโยบายว่า พนักงานแต่งตัวยังไงก็ได้ ที่รู้สึกสบายใจ บางคนสะดวกใส่สูท แจ็คเก็ตหรือไม่ใส่สูท ไม่ได้หมายความว่า ความคล่องตัวในการทำงานหรือเนื้องานที่รับผิดชอบน้อยลง บางคนสะดวกกับการใส่กางเกงขาสั้นรองเท้าแตะมาทำงาน เราไม่ได้มองว่าการแต่งกายเป็นข้อตำหนิ ว่าเขาเก่งในการทำงาน หรือน่าเชื่อถือ มากน้อย เพราะคิดว่า ถ้าให้คนทำงานรู้สึกสบายตัว สิ่งดีๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้
ที่ออฟฟิศมีสมาคมที่เป็นคัลเจอร์คลับ มีพนักงานอาสาสร้างกิจกรรมหรืออะไรเพื่อให้คนที่ทำงานเครียดน้อยลง เช่น มูฟวี่ไนท์(ฉายหนังดูด้วยกัน) การทำป๊อปคอร์นร่วมกัน เล่นโยคะหรือบางคนชวนกันออกไปวิ่งที่สวนลุมฯ ที่นี่ทุกคนเป็นผู้ใหญ่ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เขารู้ตัวเองว่า อะไรเหมาะกับเขา และเวลาที่รู้สึกเสียสมดุลจะสามารถหันไปคุยกับคนรอบข้างได้ คนทำงานของเราเป็นเพื่อนกัน
๐ บรรยากาศที่ดูผ่อนคลายมาก อาจขาดแรงกระตุ้นในการทำงานหรือเปล่า?
ต้องกลับไปที่นโยบายจ้างงาน คนที่เราเลือกนำเข้ามาในองค์กร ต้องเป็นคนที่เราเห็นว่า เขาสามารถทำงานนี้ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมนี้ โดยที่ยังเป็นตัวของตัวเองได้ คนขี้เกียจไม่ทำงาน เราต้องรู้ก่อนอยู่แล้ว ถามว่าอย่างเรา (ออฟฟิศกูเกิ้ล) มีมุมที่พนักงานอาจจะหลบมางีบได้ในช่วงบ่าย โดยที่ไม่ถูกประนามว่า ว่างมากหรือไง (หัวเราะ) มีมุมให้เล่นพูล มุมนวดโบราณ (จ้างหมอนวดเข้ามานวดผ่อนคลายกันได้)
ถามว่าเป็นการสปอยล์เกินไปไหม เรามองว่าเป็นสิ่งที่บริษัทเราให้กับพนักงานมากกว่าที่ควรจะได้ก็จริง แต่เรามองว่าพนักงานทำงานเต็มที่แล้ว work hard แล้ว ก็ควรจะได้ rewards เช่นเดียวกัน เมื่อไรที่ได้สิ่งนี้ เขาควรจะมีความตั้งใจทำงาน และที่สำคัญ ไม่มีใครที่นี่คิดว่า ฉันควรจะได้ แต่มันเป็นความต้องการที่ว่า เมื่อเราได้สิ่งนี้ก็ควรใส่ใจกับงานนะ ยังมีลมหายใจอยู่กับงานนี้นะ
และเป็นสิ่งที่จะเตือนทุกคนในตอนเช้า ตอนที่ลุกจากเตียงเพื่อเดินทางมาออฟฟิศ เขามีความเชื่อต่อเนื้องานที่ทำอยู่ มันเป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากทำงานที่นี่ให้ดีขึ้น ยาวขึ้นหรือกว้างขึ้น และมันกลับไปที่คนที่เราเลือกมาแล้ว ถ้าคุณเป็นคนที่ใช่ จะไม่เจอปัญหาบรรยากาศสบายเกินไปจนขี้เกียจ
สิ่งที่เราจัดในออฟฟิศกูเกิ้ล ใครๆ ก็สามารถทำได้นะ ในแง่รูปแบบของการออกแบบออฟฟิศ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือความคิดของบริษัท คุณมีมุมให้เล่นเกม มีมุมสนุกๆ ให้เล่นได้ ผ่อนคลายได้ แต่มุมแบบนั้นไม่มีประโยชน์ถ้าในที่ทำงานไม่ยอมรับว่า เขาสามารถจะพักเล่นได้ จะถูกมองว่า อู้งานหรือเปล่า มีงานน้อยไปหรือเปล่า ต้องเพิ่มงานให้คนนี้ทำมากขึ้นหรือเปล่า ที่นี่เราไม่เพียงแต่ยอมรับ เรากลับสนับสนุน(การผ่อนคลายระหว่างการทำงาน) เสียด้วยซ้ำ
(ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ใน กรุงเทพธุรกิจกายใจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษคม 2558)







