ณชา จึงกานต์กุล...สนุกกับสิ่งที่ทำ

ณชา จึงกานต์กุล (โบว์) น้องนุชสุดท้องแห่งกิจการผลิตและส่งออกลูกบิด-อุปกรณ์ประตู ตัดสินใจก้าวออกจากชายคาธุรกิจครอบครัว เพื่อสิ่งที่ชอบ+ใช่
ณชา จึงกานต์กุล (โบว์) น้องนุชสุดท้องแห่งกิจการผลิตและส่งออกลูกบิด-อุปกรณ์ประตู ตัดสินใจก้าวออกจากชายคาธุรกิจครอบครัว เพื่อสร้างกิจการของตนเองบนเส้นทางแห่งความชอบ และสนุกกับการทำงานเต็มกำลังโดยไม่กลัวหมดไฟ /
สาวน้อยวัยเพียง 27 ปี ทายาทคนเล็กของ “ชัยวัฒน์ จึงกานต์กุล” เจ้าของธุรกิจผลิตและส่งออกลูกบิดประตู “เบน-เฮอร์” ที่อยู่ในสนามนี้มากว่า 30 ปี เป็นน้องสาวของ “ภัทร จึงกานต์กุล” ผู้ประกาศข่าวหน้าตี๋ที่มีเสน่ห์ของช่อง 7 เรียนจบจากคณะรัฐศาสตร์ เอกการทูต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโอกาสไปฝึกงานอยู่ที่ประเทศจีนตั้งแต่เรียนปี 3 ด้วยความชื่นชอบในภาษาและวัฒนธรรมจีน
เคยทำงานด้านการตลาดที่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และมีโอกาสช่วยธุรกิจครอบครัวในช่วงเวลาหนึ่ง ทว่าสุดท้ายเธอก็เลือกพิสูจน์ตัวเองด้วยธุรกิจที่ปลุกปั้นขึ้นด้วยสองมือคือ ขนมเพื่อสุขภาพในชื่อแบรนด์ KUNNA และโรงเรียนสอนมวยไทย Legend Thai Boxing
๐ เริ่มสร้างธุรกิจของตนเองได้อย่างไร?
แม้ว่าโบว์จะจบมาทางด้านรัฐศาสตร์การทูต แต่รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าคงไม่ได้ทำงานในสายการทูต ด้วยมุมมองที่มีว่า ความท้าทายของชีวิตคือการทำธุรกิจ จะทำอย่างไรให้สินค้าของเราขายได้ ทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า ชื่นชอบหลงรักสินค้าของเรา ก็เลยตกลงใจว่าจะมุ่งไปในสายธุรกิจ
เหตุที่ตัดสินใจทำงานกับไมโครซอฟท์ เพราะอยากเรียนรู้วิธีสร้างแรงจูงใจกับลูกค้าทั้งระดับองค์กรและผู้ค้าทั่วไป ระยะเวลา 1 ปีของการทำงานถือว่าได้ประโยชน์เยอะมาก พี่ๆ ที่ไมโครซอฟท์เปิดโอกาสให้คิดและลงมือทำหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อตัวเรา
หลังจากไมโครซอฟท์ก็ขยับมาช่วยกิจการครอบครัวประมาณ 6 เดือน ดูแลด้านการส่งออกทำให้เห็นว่า การค้าขายก็น่าสนใจ แต่ว่าสินค้าในส่วนของวัสดุก่อสร้าง ลูกบิดประตู ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจหรือสิ่งใหม่ๆ ให้ลูกค้ารู้สึก 'ว้าว' ทุกครั้งที่กลับมาซื้อ บวกกับเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงกับความชอบของโบว์ ซึ่งชอบความท้าทายใหม่ๆ เช่น ชอบหาของกินของชิมไปเรื่อยๆ
โบว์ตัดสินใจไปเมืองจีนเพราะเรียนภาษาจีนมาและชอบวัฒนธรรมจีนมาก โดยไปอยู่ปักกิ่ง 6 เดือนต่อด้วยเซี่ยงไฮ้อีก 6 เดือน จนเริ่มเห็นว่า ผลไม้ไทยที่ส่งไปขายในจีนยังไม่มีการเพิ่มมูลค่าใดๆ จึงเริ่มคิดว่าตลาดสินค้าใหม่ในจีนน่าสนใจ เมื่อกลับมาเมืองไทยก็ใช้เวลาศึกษาเพิ่มเติมอีกประมาณ 1 ปี และตัดสินใจสร้าง KUNNA ขึ้นมากระทั่งตอนนี้ 4 ปีแล้ว
๐ ทางบ้านให้การสนับสนุนแค่ไหน?
คุณพ่อสนับสนุนและเปิดโอกาสมาก ท่านบอกว่าหากคิดจะเริ่มทำอะไรให้เริ่มตอนนี้ที่ยังเด็กอยู่ มีโอกาสมีเวลาล้มแล้วลุกได้ใหม่หลายครั้ง ที่บ้านทุกๆ เช้าจะเป็นเหมือน Business Table มานั่งล้อมวงคุยกันเรื่องธุรกิจ คุณพ่อจะคอยอัพเดทว่า ธุรกิจไปถึงไหนแล้ว จากนั้นก็เป็นการชี้แนะจากพี่ๆ ที่มีประสบการณ์
สิ่งที่ได้คือ สินค้าที่เป็นของกินในแบบ Fast Moving ผู้บริโภคต้องการไม่สิ้นสุด กินได้เรื่อยๆ และความต้องการถี่ขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าอุปกรณ์ก่อสร้างหรือลูกบิดประตู ดังนั้น ความท้าทายของโบว์คือ การพัฒนาของให้ใหม่ตลอด ลูกค้ากลับมาหาเราจะ 'ว้าว'ตลอด นี่คือการที่ต้องแข่งกับตัวเองตลอดเวลา
๐ ครอบครัวมีส่วนหล่อหลอมให้เป็นนักธุรกิจ?
คุณพ่อจะเปิดโอกาสให้ลูกๆ ฝึกใช้ความคิดวิเคราะห์ผ่านเกมที่ท่านหยิบยกมาจากปัญหา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของครอบครัวจริงๆ ว่าถ้าเป็นเราจะแก้ไขอย่างไร เพราะอะไร คำตอบของเราไม่ว่าจะผิดหรือถูก คุณพ่อก็จะคอยอธิบายว่า ผิดเพราะอะไร ถูกเพราะอะไร
นั่นคือสิ่งที่คุณพ่อปลูกฝังให้ตั้งแต่เด็ก หล่อหลอมให้มีมุมความคิดในแบบนักธุรกิจ ส่งผลให้สามารถจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดีมาก และนำไปสู่การต่อยอดเมื่อเติบโตขึ้น หรือเมื่อมีสถานการณ์หรือมีปัญหาเกิดขึ้น จะทำให้คิดออกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร และจะก้าวต่อไปได้อย่างไร
หลักการแก้ปัญหาในแบบฉบับของโบว์คือ มีสติ ไม่ตกใจกับมัน เพราะคุณพ่อบอกเสมอว่า ปัญหาเป็นเรื่องปกติ มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องเจอปัญหา เราต้องไม่ตกใจและไม่มองว่าเป็นเรื่องน่ากลัว และควรจะถอยมา 1 ก้าว แล้วมองว่า ปัญหาที่อยู่ในเมฆหมอกฟุ้งๆ นั้น มีสาเหตุอยู่ที่ไหนจากนั้นก็ลงมือแก้ไขให้ตรงจุดโดยเร็วที่สุด ยิ่งเร็วยิ่งดี สิ่งสำคัญคือ อย่ากลัว ต้องกล้าที่จะพุ่งใส่ แล้วปัญหาจะจบได้เร็วและง่ายมาก
นอกจากนี้การใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นก็มีส่วนด้วย ตอนนั้นเป็นช่วงค้นหาตัวเอง โบว์จะลงแข่งประกวดแทบทุกอย่าง ทุกแนว สนุกกับการค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองและทำให้มากที่สุด ทุกการกระทำทำให้เราโตขึ้นตลอดเวลา ทำให้ไม่กลัวกับการทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ เพียงแค่ทำการบ้านให้ดีเตรียมตัวให้พร้อม
สิ่งที่โบว์ได้เรียนรู้คือ ไม่มีใครให้แรงบันดาลใจเราได้ดีกว่าตัวเราเอง และต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองมากๆ
๐ ธุรกิจที่ดูแลอยู่เป็นอย่างไรบ้าง?
ตอนนี้แบรนด์ KUNNA ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ลูกค้าหลักมีทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เมื่อเดินเข้ามาในห้างไม่ได้แค่งงๆ มาเลือกชิมแล้วค่อยซื้อไป แต่เดินเข้ามาพร้อมรูปในมือถือ กระดาษที่พิมพ์รูปมา บ้างถือกล่องเปล่ามา แล้วมาซื้อกลับไปแบบแทบกวาดไปทั้งชั้น
เราจึงมีความสุขจากความสำเร็จในระดับหนึ่งที่แบรนด์เป็นที่รู้จัก แต่สิ่งที่ต้องการมากกว่าคือ การพัฒนาให้แบรนด์เป็นเรื่องของสุขภาพดีแบบองค์รวม ซึ่งต่อไปอาจจะมีมากกว่าแค่ของกิน
ส่วนโรงเรียนสอนมวยไทยก็ก้าวสู่ขวบปีที่ 2 เปิดขึ้นมาเนื่องจากเราชอบออกกำลังกาย และรู้จักครูมวย จึงเริ่มทำธุรกิจที่ตอบโจทย์ทั้งความชอบของตัวเองและเทรนด์การออกกำลังกาย ตอนนี้ผลตอบรับดีมากจนขยายเป็น 4 สาขาแล้ว
นอกจากนั้นก็เป็นพิธีกรในรายการโทรทัศน์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง อาจจะดูว่าทำหลายอย่าง ทำเยอะ แต่ทุกอย่างเป็นการทำในสิ่งที่เราชอบ ทำให้มีความสุข และไม่รู้สึกฝืนตัวเอง บวกกับมีทีมงานดี ซึ่งให้การสนับสนุนเราได้ ทำให้สามารถทำอะไรใหม่ๆ ได้อีกเยอะ ยิ่งเป็นกำไรชีวิต
๐ แล้วดูแลสุขภาพอย่างไร?
คุณพ่อปลูกฝังเรื่องสุขภาพแต่เด็ก ทุกวันต้องดื่มน้ำเต้าหู้ใส่ไข่ต้ม 1 แก้ว เน้นกินผักกินปลา มันไม่อร่อยเลยแต่ก็ต้องกิน ตอนโตถึงได้รู้ว่า มันสำคัญเพราะสุขภาพไม่สามารถหาซื้อได้ อีกทั้งคุณแม่จะจัดผลไม้สด 1 กล่องให้ไว้กินในรถหากต้องออกไปข้างนอก
ส่วนการออกกำลังกายก็ชอบมาก เมื่อก่อนออกกำลังกายเยอะ แต่พอทำงานแล้วเวลาออกกำลังกายก็น้อยลง แต่ก็ยังพยายามหาเวลาขยับร่างกายเรียกเหงื่อทั้งมวยไทย โยคะฟลายและเต้น ให้ได้ 1-1.5 ชั่วโมงต่อวัน สัปดาห์ละ 1-2 วัน ตามแต่เวลาที่สะดวก
๐ รับมือกับความเครียดผิดหวังอย่างไร?
ถึงจะทำงานทุกอย่างด้วยความสุข แต่บางครั้งความทุกข์ก็เข้ามา และในความทุกข์ก็ยังมีความสุขซ่อนอยู่ แม้เราร้องไห้ก็ยังถือเป็นเรื่องดีเพราะเป็นการเยียวยาตัวเอง ฉะนั้น ถ้าจะร้องไห้ก็บอกตัวเองให้ร้องเต็มที่ ร้องเสร็จแล้วก็จบเพื่อเดินหน้าต่อไป
ตอนนี้เริ่มเข้าวัดฝึกทำสมาธิ ซึ่งเป็นการจัดวางระบบความคิดและอารมณ์ โบว์เป็นคนใจร้อนแต่ไม่ใช่รุนแรงเกรี้ยวกราด แต่เป็นการที่เราเดินเร็วกว่าคนอื่น ดังนั้น จึงต้องคิดเพื่อพาคนทั้งทีมเดินไปพร้อมกับเรา ก็ต้องวางสมดุลให้ชีวิตช้าลงและสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจในตัวเรา
นอกจากนี้ เวลาว่างจริงๆ ก็พักผ่อนค่ะ ชอบไปต่างจังหวัด ปีนเขา ชอบเห็นต้นไม้เขียวๆ เห็นความดิบของธรรมชาติและการใช้ชีวิตของคนในชุมชนนั้นๆ การไปพักผ่อนจะช่วยให้ชีวิตสมดุล ไม่เร็วทุกอย่าง แต่มีช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตช้าลงบ้าง
"ณชา" ในตอนนี้ถือว่ามีความสุขกับชีวิต สนุกกับทุกอย่างในชีวิต ณ ปัจจุบัน แต่เธอบอกว่ายังไม่พอใจ อยากจะก้าวไปให้ไกลกว่าเดิมทุกวัน







