แนะปรับทัศนคติ'เด็กใจแตก' หวั่นซ้ำเติมปัญหาแม่วัยใส

แนะปรับทัศนคติ'เด็กใจแตก' หวั่นซ้ำเติมปัญหาแม่วัยใส

เด็กบอกว่าการสอนตามหลักสูตร ไม่ทันกับปัญหาชีวิต เด็กต้องการทักษะในการแก้ปัญหา : พญ.พรรณพิมล วิปุลากร

การตั้งครรภ์ไม่พร้อมในกลุ่ม "วัยรุ่นหญิง" ยังเป็นปัญหาสังคมที่น่าเป็นห่วง ล่าสุดในวงเสวนาเจาะประเด็น "สานพลังสังคม สกัดท้องวัยทีน" ที่ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กระทรวงสาธารณสุข จัดขึ้น ก็มีการนำข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์มาเปิดเผย รวมทั้งมีการสะท้อนปัญหาจากระดับผู้ปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาดังกล่าว


พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่า ประเทศไทยถูกจัดอันดับการตั้งครรภ์ในกลุ่มอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 5 ในอาเซียน อันดับ 15 ของเอเชีย และอันดับ 107 ของโลก โดยภาพรวมปัญหายังไม่ลดลง


เธอบอกว่า ค่ากลางของการตั้งครรภ์ในกลุ่มนี้ตั้งเอาไว้ที่ 50 ต่อ 1,000 ประชากรหญิง อายุ 15-19 ปี แต่กลับพบว่า ในหลายพื้นที่ของประเทศไทยเกินค่ามาตรฐานกลางไปที่ 52 ต่อ 1,000 ประชากรหญิงช่วงอายุดังกล่าว


"มีหลายพื้นที่ รวมถึงกรุงเทพฯ ที่สถานการณ์ค่อนข้างรุนแรง มีการตั้งครรภ์ไม่พร้อมสูงถึง 75 คนต่อ 1,000 ประชากรหญิงช่วงอายุ 15-19 ปี ในจำนวนนี้พบว่าร้อยละ 20 เป็นการตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 - 3 ในช่วงอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำไป"


ทั้งนี้ได้มีการตั้งเป้าในอีก 10 ข้างหน้าต้องลดอัตราการตั้งครรภ์ลงเหลือ 25 คนต่อ 1,000 ประชากรหญิงอายุ 15-19 ปีให้ได้ อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังมีปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อมในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้รวบรวมสถิติเอาไว้


นอกจากนี้ยังมีการประมาณการด้วยว่า กว่าร้อยละ 50 ของเยาวชนกลุ่มนี้เลือกที่จะยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งแน่นอนว่าหากไปรับบริการในสถานบริการเถื่อนก็มีความเสี่ยงสูง บางรายต้องตัดมดลูกทิ้งเพราะเกิดการติดเชื้อที่มดลูก บางรายตัดปีกมดลูกทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูกในอนาคต และบางรายถึงขั้นเสียชีวิต


พญ.พรรณพิมล บอกว่า เมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์การตั้งครรภ์ไม่พร้อมแล้วพบว่า ประมาณร้อยละ 5 เป็นการใช้กำลังบังคับ ประมาณร้อยละ 30 เกิดจากการยินยอมพร้อมใจแต่คุมกำเนิดผิดพลาด และประมาณร้อยละ 70 มีเพศสัมพันธ์โดยคล้อยตามสถานการณ์ ซึ่งตรงนี้น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเด็ก เยาวชนที่ไม่มีความรู้เรื่องเพศศึกษาดีพอ จึงไม่รู้วิธีปฏิบัติตัว หรือปฏิเสธ


"ตอนนี้ หากไม่ดูแลให้ดีสถานการณ์จะหนักกว่านี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องบูรณาการ ทั้งการจัดบริการวัยรุ่น ต้องมีคลินิกหรือบริการที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่น ที่ผ่านมามีเด็กมาปรึกษาเรื่องเพศ ยกตัวอย่างเด็กผู้ชายบอกว่ารู้สึกอึดอัดที่แฟน (ผู้หญิง) ขอมีเพศสัมพันธ์เมื่อมีโอกาส ขณะที่อีกคนบอกว่า อยากฆ่าตัวตายเพราะถูกฟันแล้วทิ้ง ตรงนี้ทำให้เห็นว่าผู้หญิงมีการแสดงออกมากขึ้น"


รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เห็นว่า สิ่งสำคัญต้องมีการสอนอย่างถูกวิธี เริ่มจากพ่อแม่ในการสอนและรับฟัง การสอนเพศศึกษาในโรงเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งตอนนี้เด็กบอกว่าการสอนตามหลักสูตร ไม่ทันกับปัญหาในชีวิตที่ไปเร็วมาก ในขณะที่เด็กต้องการทักษะในการแก้ปัญหา


นางสาวอินฐิรา สายสิญจน์ นักพัฒนาสังคมชำนาญการ สำนักคุ้มครองสวัสดิภาพหญิงและเด็ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ (พม.) เห็นว่า ปัญหาเด็กและเยาวชนมีสาเหตุมาจากปัญหาครอบครัวที่ขาดการสื่อสารที่ถูกต้อง สื่อและเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่าย สภาพแวดล้อม รวมทั้งปัญหาการมีพฤติกรรมเสพติด 3 ประการ ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การติดยาเสพติด และการติดความรุนแรงในหมู่วัยรุ่น


เธอบอกว่า ที่ผ่านมา พม. ได้จัดทำโครงการ "เสริมสร้างคุณภาพเด็กไทยมีวินัยอย่างสร้างสรรค์" เน้นให้ความรู้เยาวชนในสถานศึกษาให้มีส่วนร่วมรณรงค์ คัดเลือก "ดีเจทีน" ไปร่วมจัดรายการกับดีเจที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งปลุกจิตสำนึก เปลี่ยนเจตคติ เสริมสร้างวินัยให้เด็กไทยมีพฤติกรรมที่เหมาะสม มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม


นางสาวอินฐิรา บอกว่า ปีนี้ พม.จะมุ่งเน้นสร้างเครือข่ายการทำงาน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมขับเคลื่อนและมีบทบาทป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่นมากขึ้น โดยจัดทำโครงการเสริมสร้างบทบาทผู้นำทางความคิดแก่ผู้นำสตรี ผู้นำชุมชน รวมทั้งการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ "เพื่อนช่วยเพื่อน" เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนในกรณีเพื่อนมีปัญหาและมาปรึกษา ตลอดจนได้จัดทำบ้านพักเด็กและครอบครัวที่มีอยู่ทุกจังหวัดให้ช่วยดูแลจนกว่ามารดาวัยรุ่นมีความพร้อมก่อนมารับกลับไปดูแล


ขณะที่ นางสาวจิตติมา ภาณุเตชะ ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง บอกว่า ปัจจุบันปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้รับความสนใจจากหลายส่วน และรัฐก็มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขเรื่องนี้ แต่ในทางปฏิบัติ การทำงานของแต่ละหน่วยงานยังไม่ไปในทิศทางเดียวกัน
ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เน้นทำงานเชิงป้องกัน ยังมีทัศนคติเดิมๆ โดยมองเด็กที่ผิดพลาดแล้วมาขอความช่วยเหลือว่าเป็น "เด็กใจแตก" ดังนั้น ผู้ทำงานเชิงป้องกันต้องเปลี่ยนมุมมองเดิมๆ เพื่อให้เด็กกล้ามาปรึกษาในทุกเรื่อง อีกทั้งเราก็ต้องให้เด็กเรียนรู้เรื่องเพศ มุ่งเน้นให้ฉลาดรู้เรื่องเพศ เท่าทันเรื่องเพศ ไม่เน้นการข่มขู่
ด้าน นางเพ็ญศิริ ศรีจันทร์ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ผู้แทนสมัชชาสุขภาพจังหวัดอุดรธานี เล่าว่า ที่ผ่านมา จ.อุดรธานี จัดกระบวนการแก้ปัญหา โดยจัดทำยุทธศาสตร์ 5 ด้าน คือ 1.ปัจจัยแวดล้อมเด็ก คือ ครอบครัว ชุมชน และโรงเรียน 2.ตัวเด็ก ที่ต้องพุ่งเป้าสื่อสารใหม่ในเรื่องเพศศึกษา 3.แก้ไขพฤติกรรมเสี่ยง 4.ผลกระทบต่อสุขภาพ และ 5.ผลกระทบสืบเนื่อง โดยมีการติดตามและประเมินผลการทำงานพร้อมกันด้วย


"การเรียนรู้เรื่องเพศนั้น ควรทำทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน โดยมุ่งเน้นให้เด็กมีความรู้และมีทักษะในการดูแลตัวเองให้ปลอดภัย และเข้าถึงการบริการสุขภาพได้อย่างรวดเร็ว"


นอกจากนี้ยังต้องเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้ผู้ใหญ่ในตำบลปรับวิธีคิด และสื่อสารเรื่องเพศในวัยรุ่นใหม่ เพื่อให้เด็กและผู้ใหญ่เข้าใจกันมากขึ้น