จิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ ลูกผู้ชายพันธุ์ดี(สวัสดิ์)

จิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์  
ลูกผู้ชายพันธุ์ดี(สวัสดิ์)

"ไฮเปอร์ ไม่หยุดนิ่งชอบเรียนรู้ตลอดเวลา" นี่คือนิยามของผู้ชายที่ชื่อ จิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ ผู้บริหารดีสวัสด

"ไฮเปอร์ ไม่หยุดนิ่งชอบเรียนรู้ตลอดเวลา" นี่คือนิยามของผู้ชายที่ชื่อ จิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ ผู้บริหารกิจการเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดีสวัสดิ์

ทันทีที่พ่อเสียชีวิตกระทันหัน จากวิถีการดำเนินชีวิตชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป เพราะภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบพุ่งตรงมาที่เขาในฐานะลูกชายคนโต ถือเป็นไฟท์บังคับ แม้จะไม่มีความพร้อมและไม่เคยคิดอยากทำโรงงานไม้ส่งออกของครอบครัวมาก่อน

: บทเรียนที่ท้าทาย

ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับชายหนุ่มในการที่เรียนรู้ ซึ่ง "ไม่ใช่" เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเคลียร์หนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงมาก กำไรที่ได้มาจึงหมดไปกับดอกเบี้ย ตรงนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขามีวินัยทางการเงินมาก และแม้ว่าจะเป็นหนี้ แต่เขาและครอบครัวไม่เดือดร้อนเพราะทุกคนใช้จ่ายอย่างพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟื่อย

จากเดิมที่เรียนคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ภาคปกติ จิรวัฒน์ ก็เปลี่ยนมาเรียนภาคค่ำแทน เพื่อให้มีเวลาในการเรียนรู้การทำงานในโรงงานพร้อมๆ ไปกับการเรียนรู้การทำธุรกิจทุกหลักสูตรจากกรมส่งเสริมการส่งออก จากที่ไม่รู้อะไรเลย กลายเป็นคนที่รู้ลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับไม้ในทุกมิติ จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่นได้

จากความมุ่งมั่นในการเรียนรู้และทำการบ้านก่อนที่พบลูกค้าในงานแฟร์เฟอร์นิเจอร์เอาต์ดอร์ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้าในต่างประเทศจ้างผลิตสินค้า ผนวกกับที่เป็นคนช่างสังเกตและมีจิตวิทยาในการสื่อสาร ทำให้ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์จากการเป็นนักพูดแข่งโต้วาทีมาก่อน รวมทั้งเป็นนักกิจกรรมตัวยง หลังจากนั้นเขาได้ปรับเปลี่ยนทิศทางของ ดีสวัสดิ์ ให้กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีความโดดเด่นด้านดีไซน์นำการตลาด

"ดีสวัสดิ์ ยังเป็นธุรกิจครอบครัว 100% แต่ไม่มีปัญหาเพราะพวกเราทำงานอย่างเต็มที่ มีการตัดสินใจร่วมกัน มีการถกถียงกันตามปกติ แบ่งงานกันชัดเจน ส่วนด้านการวางกลยุทธ์เป็นหน้าที่ผมรับผิดชอบ เพื่อวางทิศทาง ซึ่งสไตล์การทำงานเป็นคนใจร้อน ตัดสินใจเร็วและดุ แต่จากประสบการณ์และวัยทำให้ใจเย็นนิ่งขึ้น คิดไตร่ตรองมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งเมื่อเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนหมู่บ้านเด็กนานาชาติทำให้ใจเย็นขึ้น"

: บาลานซ์ชีวิต

จิรวัฒน์ บอกว่า การที่เข้าได้ทำทำกิจกรรมในหมู่บ้านเด็กนานาชาติมานานเกือบ 30 ปี ทำให้เขาใช้ชีวิตได้สมดุลระหว่างชีวิตกับงาน ในการการกําหนดเวลาดําเนินชีวิตให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมสําหรับงานและครอบครัว เช่นเดียวกับภรรยา (ศิริอร อิศรางกูร ณ อยุธยา) ที่ทำกิจกรรมในหมู่บ้านเด็กด้วยกัน จึงเข้าใจเพราะรู้จักกันมานาน 15 ปี เป็นเพื่อนกันมาก่อน รู้ว่าเขาเป็นคนดี จากนั้นเริ่มคุยกัน

ครั้งแรกที่เปลี่ยนสถานะภาพจากเพื่อนเป็นแฟนก็กังวลเหมือนกันกลัวจะเสียเพื่อน แต่ข้อดีของการเป็นเพื่อนกันมาก่อนคือ ไม่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน เพราะรู้จักกันดีมาก (หัวเราะ) โดยช่วงที่เป็นแฟนกัน ธุรกิจครอบครัวนิ่งแล้ว แต่เพิ่งตัดสินใจแต่งงานมาเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากต่างคนต่างยุ่งเรื่องงาน ภรรยาเขามีภาระดูแลโรงงานผลิตรองเท้า ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว

"พอแต่งงาน ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ต่างคนต่างรู้จักกันดี แม้ว่าบางครั้งอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ไม่ได้ทะเลาะกันเพราะโตๆ กันแล้ว ไม่ใช่วัยรุ่น แต่เริ่มต้องปรับตัวตอนที่มีลูก เริ่มคิดว่าจะเลี้ยงลูกแบบไหนดี จะให้ลูกเรียนที่ไหนดี"

แนวการเลี้ยงลูกในแบบฉบับของเขาคือ เน้นลูกเป็นศูนย์กลาง มองว่าเหมาะกับลูกของเขามากที่สุด โดยจะแบ่งช่วงเวลาการตัดสินไว้ 2 ช่วง ช่วงแรกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง10 ขวบจะเป็นสิทธิของภรรยาในการตัดสินใจ เมื่อถึง 11 ขวบจะเป็นสิทธิของเขา ปัจจุบันลูกชายอายุ 6 ขวบเรียนอยู่โรงเรียนที่มีการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ ย่านบางนา ซึ่งเป็นการสอนรูปแบบหนึ่งที่ยึดเด็กเป็นหลัก

: สร้างภูมิคุ้มกัน

กว่าได้โรงเรียนเป้าหมาย เขาลงทุนศึกษาข้อมูลและเข้าไปพูดคุยกับครูที่สอนมากว่า 17 แห่งจากเดิมที่เลือกแนววอลดอฟ ก็เปลี่ยนมาเป็นมอนเตสซอรี่ ในมุมมองของจิรวัฒน์ การเรียนตามแนวการศึกษาหลักจะบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์หรือจินตนาการของเด็ก เพราะเน้นการท่องจำทางวิชาการมากกว่าสอนให้เด็กเรียนรู้ตามธรรมชาติ

"ผมมองว่าโอกาสที่เด็กได้เรียนมากที่สุดคือ การเล่น ผมอยากให้เขาเล่นมากกว่าเรียน อยากให้เขาคิด จินตนาการ โซเชียลไลฟ์มากกว่านั่งท่องตำรา เพราะการทุ่มอัดความรู้ช่วงอนุบาลและประถม ไม่ได้มีผลต่อการเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัย สู้รอให้ถึงเวลาเรียน ม. 3 หรือ ม.4 ค่อยไปติวเข้มในทางที่อยากเรียนดีกว่า"

จิรวัฒน์ ยอมรับว่า ไม่นิยมแนวการศึกษาหลัก เนื่องจากเคยทำงานกับเด็กแล้วพบว่า เด็กส่วนหนึ่งไม่รู้ตัวเองว่า ชอบอะไร มักเรียนตามที่พ่อแม่อยากให้เรียน ไม่ได้ปลูกฝังให้มีความเป็นตัวของตัวเอง ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย สุดท้ายคุณศิริอร (ภรรยา) ตกลงใจเลือกให้ลูกชายเรียนที่ มอนเตสซอรี่ อะแคเดอมี่ แบงค็อก ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นโรงเรียนที่สอนแบบ Child Center ด้วยภาษาจีน อังกฤษและไทย ซึ่งตอบโจทย์ของโลกในยุคนี้

ผลปรากฏว่า ลูกชายพูดภาษาจีนได้คล่อง สามารถเปลี่ยนโหมดจากภาษาไทยเป็นภาษาจีนได้ทันที

คุณพ่อนักวางแผน เล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า ลูกชายมีบุคลิกเหมือนตนเองคือ ช่างพูด ช่างสังเกต เป็นเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ขี้งอนนิดๆ สังเกตจากการเวลาที่เล่านิทาน เด็กจะรู้สึกอินไปกับเรื่องราวที่เล่า เมื่อเกิดความประทับใจกับเรื่องราวนั้นๆ ก็จะร้องไห้ออกมา เช่น รู้สึกสงสารสัตว์ นอกจากกิจกรรมการเล่านิทานที่เขาใช้เวลาอยู่กับลูกก็คือ การวาดการ์ตูน ซึ่งแต่ละช่วงเวลาจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความสนใจของลูก

"ผมไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะให้ลูกเป็นอะไร ขึ้นอยู่กับความชอบของเขา อนาคตผมไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมาทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ผมแค่เตรียมความพร้อมทางด้านปัจจัยพื้นฐานและให้เขามีภูมิคุ้มกันในด้านต่างๆ เท่าที่จะทำให้ได้แค่นั้น แต่เขาอยากจะเป็นอะไรก็ต้องคิดเอง ทำเอง ผมอยากให้เวลาเขาโตขึ้นมาแล้วสามารถบอกได้เองว่า เขาอยากทำอะไร

ผมไม่เคยกังวลกับสภาพสิ่งแวดล้อมในสังคมปัจจุบันแม้ว่าพ่อแม่หลายคนจะมองว่า สังคมสมัยนี้น่ากลัว เพราะผมได้เตรียมความพร้อมและภูมิต้านทานให้กับลูกไว้แล้ว การป้องกันที่ดีที่สุดคือการสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจและมั่นใจมากกว่าการป้องกันจากภายนอก"

ในแง่ของสุขภาพ จิรวัฒน์ บอกว่า มีความรู้ในการดูแลสุขภาพและสมุนไพรดีมาก แต่ไม่ค่อยได้นำมาใช้เท่าไร สำหรับแนวทางการดูแลสุขภาพเขาให้ความสนใจกับการรักษาตามธรรมบำบัดมากกว่าการใช้ยา ยกตัวอย่าง เวลาเป็นหวัดจะรับประทานยาสมุนไพร หรือถ้าอยากบำรุงร่างกายจะมีสูตรยาสมุนไพรมาใช้บำรุง

โจทย์ล่าสุดของเขาตอนนี้คือ การลดน้ำหนักด้วยการปั่นจักรยาน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเลือกจักรยานที่ถูกโฉลกและถูกใจจนเพื่อนๆ บ่นว่า เรื่องเยอะ(หัวเราะ) ส่วนเรื่องอาหารก็พยายามลดการบริโภคอาหารมัน ของทอด

: เรียนรู้ตลอดชีวิต

ปัจจุบันจิรวัฒน์แบ่งเวลาการดูแลครอบครัว โดยช่วงเวลาเย็นจะกลับบ้านให้เร็วเพื่อมาดูแลลูก สัปดาห์หนึ่งจะมีเวลาเป็นส่วนตัว 2 วันโดยให้ภรรยาไปอยู่บ้านกับแม่ จะเป็นเวลาที่เขาใช้ทำงานหรือปาร์ตี้กับเพื่อน วันอาทิตย์จะพาลูกไปเที่ยว

หลายคนอาจคิดว่าวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนั้น หนึ่งในนั้นก็คือ จิรวัฒน์ เพราะวิธีการพักผ่อนของเขาคือ การไปทำกิจกรรม เช่น ค่ายอาสาให้เด็กๆ การสอนหนังสือเป็นวิทยากร ฯลฯ

"ผมเป็นคนไฮเปอร์ ไม่หยุดนิ่ง ชอบเรียนรู้ตลอดเวลา ช่วงที่ผมเป็นนักเรียนได้เป็นประธานนักเรียน พอเรียนมหาวิทยาลัยก็เข้าค่ายทำกิจกรรมโน่นนี่นั่น แม้แต่ปัจจุบันผมยังเป็นแบบนั้น ผมเป็นคนพูดเยอะก็ต้องทำเยอะ บางครั้งสิ่งที่ทำไม่จำเป็นต้องกำไร หลายอย่างทำเพื่อตอบสนองความอยาก เวลาที่ต้องอยู่เฉยๆจะรู้สึกหงุดหงิด"

ยกตัวอย่างเวลาที่ไปเที่ยวทะเลกับครอบครัว ภรรยาเลือกที่นอนริมชายหาด อ่านหนังสือไปทีละหน้า ขณะที่เขากลับจะชวนลูกไปทำกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งภรรยาบอกว่า ทำไมไม่ลองหยุดบ้าง (หัวเราะ) แม้จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมาย แต่เขากลับไม่รู้สึกเครียดเหมือนกับช่วงที่เข้ามาทำธุรกิจใหม่ๆ เพราะไม่รู้เรื่องอะไร ต้องลองผิดลองถูก

แต่ถึงกระนั้นในช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิต เขาก็ยังรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เพราะมีโรงงานอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับคนอื่นถือว่าโชคดี เพียงแต่ตอนนั้นเขายังเด็กจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนเก่าแก่ ที่ทำงานมานานอาจมีความเห็นไม่ตรงกันบ้างก็ต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าทุกอย่างจะนิ่ง

"ตอนนี้เราผ่านจุดนั้นมาแล้วทำให้ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่แย่ที่สุดก็แค่นี้เอง ทุกอย่างมันก็แค่นี้เอง ผมทำงานค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน เคยอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดมากแล้ว มีคนงานยืนประท้วงเพราะไม่มีเงินจ่าย แต่ทุกวันนี้เราอยู่ในสภาพที่สามารถรับมือกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้"

ทุกวันนี้ เขาเริ่มขยับตัวออกจากโรงงาน แล้วหันมาทำงานสมาคมธุรกิจไม้ สภาหอการค้า หน่วยงานราชการต่างๆ ในลักษณะการให้ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะกับองค์กรภายนอกมากขึ้น ในฐานะตัวแทนของดีสวัสดิ์ เพื่อให้ภายนอกรู้จักเพิ่มขึ้น

และเมื่อถามถึงแผนรองรับการเกษียณอายุการทำงาน เขาบอกว่า ไม่เคยคิดว่าจะเกษียณอายุการทำงานได้ อนาคตเมื่อเฟอร์นิเจอร์ดีสวัสดิ์เข้าตลาดหลักทรัพย์ อยากจะทำโรงเรียนแนววอลดอฟหรือมอนเตสซอรี่ ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษในรูปแบบโปรแกรมเลโก้ เทรนนิ่ง สคูล เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะมีความสุขในการสอนหนังสือเด็กๆ เหมือนกับภรรยา

โครงนี้ไม่เน้นเชิงพาณิชย์ที่มีกำไรเป็นตัวตั้ง แต่เป็นสิ่งอยากทำตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา เพราะสนใจงานด้านการศึกษามานาน ฝันอยากเปิดโรงเรียนมีความแตกต่างเน้นการสอนให้เด็กมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

"ผมมองว่าเด็กสามารถรับรู้ได้ทุกเรื่อง ถ้าเราสอนให้เขารู้จักคิด และตัดสินใจแล้วปล่อยให้เขาเลือกว่าอะไรคือสิ่งที่เขาอยากทำและต้องการจะเป็น" จิรวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย