คุณหมอแซ่บเวอร์

'หมอของขวัญ'เซเลบชื่อดังที่มาจากวงการแพทย์ โดดเด่นด้วยคาแรคเตอร์ พร้อมด้วยความสำเร็จบนเส้นทางธุรกิจความงาม

(เรื่องปก) หมอของขวัญ

แพทย์หญิงของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ วินธุพันธ์ หรือ หมอเคท ในแวดวงสังคมเรียกติดปากว่า "หมอของขวัญ" เจ้าของธุรกิจความงามได้ก่อตั้งธุรกิจมาด้วยสองมือของตนเองตั้งแต่แรก จนสามารถนำพาให้ “ของขวัญคลินิก” ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการ

เมื่อให้นิยามตัวตน "หมอของขวัญ" เธอบอกว่า เป็นคนที่ชัดเจนตรงไปตรงมา ทุกคนที่คบหาไม่ว่าเป็นเพื่อน แฟน หรือหุ้นส่วนที่ทำธุรกิจร่วมกันไม่ต้องคาดเดา

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

หลายคนคิดว่า การที่เธอมาเป็นแพทย์ เนื่องจากได้รับแรงบันดาลใจจากคุณพ่อ (นพ.วิเศษ ฟูจิตนิรันดร์) แต่หารู้ไม่ว่าท่านไม่เคยสนับสนุน เพราะรู้ว่าเป็นอาชีพที่มีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบหนักหนาสาหัส
“จริงๆ ไม่คิดจะเรียนแพทย์ แต่ความที่เป็นเด็กเรียนดี แม่ก็สนับสนุนให้เรียนแพทย์ ถึงขั้นบอกว่าหากเรียนจบแล้วจะไม่ทำอาชีพนี้ก็ได้ เพราะมองว่าการเรียนรู้ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดี เหมือนเป็นการเรียนรู้ร่างกายของเราเอง หากจบมาวันหนึ่งอยากเป็นนักการตลาด สามารถไปเป็นได้ แต่ถ้าเรียนการตลาดแล้วจะไปเรียนแพทย์ไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจเรียนแพทย์"
หมอเคท เล่าว่า สมัยเด็กด้วยความเป็นคนเรียนดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความจำดี ซึ่งคงได้มาจากดีเอ็นเอ สังเกตจากญาติพี่น้องในรุ่นเดียวกัน 7 ใน 10 คนเรียนแพทย์ ส่วนที่เหลืออยู่ในสายสาธารณสุขและสุขภาพ เรียกได้ว่า เป็นตระกูลที่เรียนดีกันแทบทุกคน
เคล็ดลับการเรียนของเธอคือ เรียนแบบเข้าใจไม่ใช่ท่องจำให้เปลืองพื้นที่สมอง นอกเหนือจากเรื่องวิชาการ คุณแม่ (ฉวีวรรณ ฟูจิตนิรันดร์) ของหมอเคท พยายามผลักดันให้ลูกสาวสานความฝัน ไม่ว่าจะเป็น เล่นดนตรีไทย สากล บัลเล่ต์ แจ๊สแดนซ์ เปียโน เหล่านี้ช่วยให้คลายเครียดได้โดยไม่รู้ตัว
สไตล์การเลี้ยงลูกของครอบครัว "ฟูจิตนิรันดร์" จะเป็นสไตล์ตะวันตก สอนให้ดูแลตัวเอง คิดเอง ทำเอง ล้มเองและลุกเอง ฝึกให้ตัดสินใจเองตั้งแต่เด็กตั้งแต่อายุ 16 ปี เนื่องจากต้องเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ และไปเรียนต่อต่างประเทศ เมื่อกลับมาก็ตัดสินใจด้วยตนเอง โดยลงขันกับเพื่อนเปิดคลินิกความงาม เพื่อสานความฝันในวัยเด็กที่อยากเป็นนักธุรกิจ
สำหรับหลักคิดในการทำธุรกิจในฐานะเป็นเจ้าของคลินิกความงาม หมอเคทบอกว่า อันดับแรกคือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าเป้าหมายธุรกิจอยู่ที่ตัวเงิน คุณจะทำทุกอย่างได้ออกมาไม่ดี แต่ถ้าคุณทำธุรกิจด้วยแรงบันดาลใจอย่างเดียว คุณอาจจะล้มละลายได้
ฉะนั้น ทุกอย่างต้องบาลานซ์ หมอไม่ใช่จิตรกรที่จะบอกว่า มันคือจิตวิญญาณแล้วทำทุกอย่างตามแรงบันดาลใจของตนเอง ไม่สนใจหลักการทำธุรกิจแต่ไม่ใช่ทำธุรกิจ แบบนายทุนหน้าเลือด

ความสำเร็จสร้างได้


"เหมือนเรามีคู่มือการใช้งานส่วนตัวให้คนอื่นรู้ว่า เราเป็นคนแบบนี้ เวลาทำงานจะเป็นคนดุ พูดตรง ไม่หยุมหยิม นิสัยเหมือนผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ถ้าถกเถียงกันจบในห้อง ออกจากห้องไปสามารถดื่มด้วยกันได้ โดยรวมแล้วเป็นคนที่ใช้ชีวิตไม่เหมือนหญิงไทย จนสามีคิดว่าแต่งงานได้สามี (หัวเราะ)"
แนวทางการดูแลตัวเองมี 2 ประการหลักคือ การดูแลภาพลักษณ์และการดูแลสุขภาพ ด้วยความที่ใช้ชีวิตเต็มที่มากตามสไตล์เป็นสาวยุคใหม่ที่มีคอนเซ็ปต์ เวิร์คฮาร์ด เพลย์ฮาร์ด เวลาลงมือทำอะไรเต็มที่แบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงปาร์ตี้ ซื้อของ เที่ยว ทำงานเต็มที่แบบสุดๆ
หมอเคท ให้เหตุผลว่า การที่เธอเต็มที่กับทุกเรื่อง เพราะไม่รู้ว่าจะตายวันไหน ฉะนั้น ทำให้เต็มในทุกเรื่องจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง ว่าทำไมถึงไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้
ส่วนแนวทางการดูแลจิตใจให้ดีนั้น เธอใช้หลักการ "ไม่ยึดติด” กับอะไรทุกสิ่งอย่าง เพราะเป็นคนสุด(โต่ง) ตั้งแต่เด็กและโชคดีที่ประสบความสำเร็จเร็ว ทำให้มีความรู้สึกเหมือนชีวิตได้ผ่านมาประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมาหมดแล้ว
หมอเคทอธิบายว่า ความเครียดเหมือนมลพิษ ฝุ่นละอองที่อยู่รอบตัวเรา หากจับมาคิดจะเครียดได้ง่าย เช่น เห็นน้ำแก้วหนึ่งเหลืออยู่แค่ครึ่งแก้ว อาจรู้สึกเครียด แต่ถ้ามองว่ามันยังเหลือตั้งครึ่งแก้วก็จะไม่เครียด ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับทัศนคติของเราที่มีต่อปัญหานั้น ต้องรู้จักคิดไตร่ตรอง ไม่ใช่ว่า มองเห็นทุกอย่างแล้วเครียดไปหมด
"เวลาเครียดเหมือนหนูที่วิ่งวนไปมา เหมือนคนตาบอดไม่เห็นทางออก จากประสบการณ์สอนว่า เวลาที่เผชิญปัญหาควรทำใจให้นิ่ง มองหาวิธีแก้ปัญหา อย่างหมอเข้ามากรุงเทพฯ ตัวเปล่า ตอนทำธุรกิจวันแรกก็ไม่ได้คาดหวังว่า จะมาไกลถึงวันนี้ ถ้าวันหนึ่งจะกลับเป็นเหมือนเดิมก็ไม่เห็นเป็นอะไร”

ว่าที่คุณแม่ลูกสอง


การตั้งครรภ์ลูกคนแรกเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิด หรือวางแผนล่วงหน้า เธอจึงต้องปรับตัวพอสมควร สิ่งแรกที่ทำก็คือ หยุดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้เหตุผลว่า เธอไม่มีสิทธิที่ทำลายลูกด้วยความอยาก ส่วนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษนอกเหนือจากเดิม ไม่ได้โด๊ปยาบำรุงใดๆ เพราะคนท้องไม่ใช่คนป่วย
"จากประสบการณ์ที่เคยขึ้นไปทำงานที่วอร์ดสูตินรีเวช พบว่า เด็กที่แพ้นมวัว เป็นภูมิแพ้โน่นนี่นั่นมากมาย มักเป็นลูกเศรษฐี แต่กับลูกคนงานที่คลอดกันเอง ไม่เป็นอะไรเลย แสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ทุกคนอยู่แล้ว ไม่เห็นจะมีความจำเป็นต้องทำอะไรเป็นพิเศษ แค่หยุดบริโภคแอลกอฮอล์ คาแฟอีน นิโคติน เท่านั้น"
คุณแม่หลายคนจะตั้งความหวังหรือวางแผนอนาคตของลูก แต่สำหรับหมอเคท มิได้เป็นเช่นนั้น เธอบอกว่า ชีวิตเรายังอยากกำหนดเอง ถ้าคุณแม่หมอกำหนดให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ คงไม่มีหมอเคทในวันนี้ ดังนั้น ลูกของเธอก็ต้องมีชีวิตของเขาเอง เพราะการทำให้เขาเกิดมาไม่ได้หมายความว่า คุณเป็นเจ้าชีวิตที่ลิขิตให้ลูกเดินไปทางโน้นทางนี้ สิ่งที่พ่อแม่ควรจะทำให้ดีที่สุดก็คือ สร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้กรรมดีโผล่ออกมาให้เยอะที่สุดเท่านั้นเอง
เธอและสามีวางแผนครอบครัวว่า จะมีลูก 2 คน และขยับเวลาขึ้นมาจากเดิมที่คิดว่าอีก 2 ปีค่อยมีลูก ในเมื่อมีลูกชายคนแรกแล้วตามสไตล์หมอเคท ทำอะไรก็ต้องทำให้สุด นั่นหมายความว่า หลังจากคลอดลูกชายแล้ว อีก 6 เดือนถัดไปเธอพร้อมที่จะเปิดอู่ โดยวางแผนที่จะเลือกเพศลูกคนที่สองให้เป็นผู้หญิง แทนที่จะรอลุ้นเหมือนคนแรก เพราะว่าตามแพลนแล้วอยากได้ ชายคน หญิงคน ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้สามารถเลือกเพศลูกได้โดยไม่ต้องลุ้น


ในฐานะคุณหมอในแวดวงความสวยความงาม หมอเคท แนะว่า การดูแลสุขภาพร่างกายตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่หากไม่สามารถควบคุมตามธรรมชาติได้ อาจต้องมาพึ่งผู้เชี่ยวชาญ ยกตัวอย่าง ถ้าคนไข้ถามว่า วิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุดคืออะไร หมอตอบสั้นๆ คำเดียวเลยว่า “ไม่กิน” ถ้าทุกคนทำได้ก็คงไม่มีคนอ้วนบนโลกนี้ ฉะนั้น ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้ เราก็ต้องมีเทคโนโลยีเข้าช่วย แต่อย่าให้ถึงขั้นเสพติด ไม่ควรยึดติดรูปลักษณ์ภายนอก โดยไม่สนใจเรื่องภายใน
คุณหมอของขวัญยึดตามหลักพุทธศาสนาที่สอนว่า อะไรที่เกินความพอดี มันไม่มีดี ถึงแม้จะมีประโยชน์ก็ตาม