'น้องธันย์'ตัดพ้อไม่มีจนท.ไทยช่วยเหลือสู้คดี

'น้องธันย์'ตัดพ้อไม่มีจนท.ไทยช่วยเหลือสู้คดี

"น้องธันย์" เหยื่อรถไฟสิงคโปร์ทับขาขาด เปิดใจกับสื่อตัดพ้อไม่มีจนท.ไทยช่วยเหลือสู้คดีศาลสิงคโปร์

ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ และน.ส.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ ซึ่งได้รับอุบัติเหตุตกรางรถไฟฟ้าถูกรถไฟทับ เป็นเหตุให้ต้องสูญเสียขาสองข้าง และได้ยื่นฟ้องต่อรัฐบาลสิงคโปร์ ได้เดินทางมาแถลงข่าวเปิดใจ พร้อมกับขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยนำเสนอข่าว โดยมีนายศาสนะ ศิริลาภ กรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ เป็นตัวแทนสมาคมฯให้การต้อนรับ

นายกิตติ์ธเนศ กล่าวว่า ตนขอบคุณสื่อมวลชนที่เปิดโอกาสให้มาสัมภาษณ์เปิดใจ ตอนนี้ศาลสิงคโปร์ทั้ง 3 ศาล ได้ตัดสินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลการพิจารณา หากพูดเป็นภาษากีฬา ก็ต้องบอกว่าเสมอกัน แต่ทางรัฐบาลสิงคโปร์ไม่ได้รับผิดชอบแต่อย่างใด ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่เดินทางไปขึ้นศาลสิงคโปร์ ไม่มีเจ้าหน้าที่ไทยคอยอำนวยความสะดวก หรือมาให้กำลังใจแต่อย่างใด ซึ่งในวันที่ 7 ต.ค.นี้ ตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลไทยประสานถามกับทางรัฐบาลสิงคโปร์ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นายกิตติ์ธเนศ กล่าวอีกว่า ตนอยากเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจ ให้สนใจเด็กไทยที่เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน เมื่อเกิดปัญหาหรืออุบัติเหตุ อยากให้มีหน่วยงานเข้าไปดูแลแทนรัฐบาล เพราะภาพรวมของนักศึกษาที่ไปศึกษาต่อนั้นจะได้นำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ เหมือนน้องธันย์ ในแง่ของมนุษยธรรมกรณีของน้องธันย์นั้นไม่เคยได้รับความช่วยเหลือใด ๆ เลย

“ที่ศาลสูงสุดตัดสินแบบนี้ ตนมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรต่อการสูญเสียขาของลูก ทางศาลบอกว่าเป็นกรณีอุบัติเหตุสาธารณะ ซึ่งทางสิงคโปร์อ้างว่ามีความปลอดภัยดีอยู่แล้ว แต่หลังเกิดอุบัติเหตุของน้อง ก็มีการเอาแผงกั้นมาติดไว้ ตนอยากให้สังคมรู้ว่า ประเทศที่รวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกที่มีทุกความพร้อมแต่ไม่มีความรับผิดชอบแต่อย่างใด” นายกิตติ์ธเนศกล่าว

นายกิตติ์ธเนศ กล่าวด้วยว่า สำหรับขาเทียมคู่นี้ เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงห่วงใย และครอบครัวตนมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงให้เห็นว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของไทย เมื่อทรงรับทราบเรื่องความเดือดร้อนของพสกนิกร ไม่ว่าจะมุมไหนของโลก ก็ทรงช่วยเหลือทันที โดยทรงพระราชทานขาเทียมคู่นี้ ซึ่งมีมูลค่า 3 ล้านบาท ขณะที่ขาเทียมคู่ต่อไปซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยน โดยเป็นขาที่ใช้ระบบสัมผัสประสาทผ่านทางสมอง ซึ่งมีราคาแพงมาก จึงหวังว่ารัฐบาลไทยเจรจาช่วยเหลือให้ได้ขาคู่ใหม่มาก็เพียงพอแล้ว จะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ไม่ได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจ ขอเพียงโอกาสแค่นี้เท่านั้น

“ที่ผ่านมา ทางทนายของฝ่ายตน ถูกผู้พิพากษาสิงคโปร์ ซักมาโดยตลอด ไม่ให้ตั้งตัว วันตัดสินคดีมีคนไปฟัง 30-40 คน ทุกคนส่ายหัวต่อคำตัดสินของศาล เมื่อครอบครัวตนออกจากศาล ได้กางธงชาติไทย มีผู้สื่อข่าวมาถ่ายรูป แต่ปรากฏว่า ภาพนี้ถูกตัดออกไม่ได้นำเสนอในสื่อสิ่งพิมพ์ของสิงคโปร์ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศที่เจริญแล้ว” นายกิตติ์ธเนศ กล่าว

ขณะที่น.ส.ณิชชารีย์ กล่าวว่า ขอบคุณสื่อมวลชน เนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาเป็นวันที่ไปฟังคำพิพากษา วันนั้นรู้สึกกดดันและเศร้า เพราะวินาทีสุดท้ายของคำพิพากษาก็ยังไม่มีการช่วยเหลือ ข่าวถูกปิด สื่อสิงคโปร์รีบปิดประเด็น ทำให้ข่าวมาไม่ถึงเมืองไทย ตนร้องไห้เสียใจมาก เราเป็นคนไทยแต่ไม่มีใครให้การช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ตนหวังพึ่งมาโดยตลอด ตอนนี้ก็คงตั้งใจเรียน ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นม.5 สายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย โดยอนาคตอยากเป็นนักจิตวิทยา

ด้านนายศาสนะกล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นตัวแทนของสมาคมฯ ก็ต้องขอบคุณนายกิตติ์ธเนศและน.ส.ณิชชารีย์ ที่มีน้ำใจเดินทางมากล่าวขอบคุณสื่อมวลชนถึงสมาคมฯ แม้ผลการตัดสินของคดีคดีจะไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่ในฐานะสื่อมวลชนไทยก็ยังยินดีที่จะเป็นสื่อกลางในการประสานงานในการช่วยเหลือติดตามและเผยแพร่ข้อมูลให้สังคมได้ทราบต่อไป หากมีอะไรให้ทางสมาคมฯช่วยเหลือก็ยินดีที่จะประสานสื่อมวลชนต่อไป