เผยชายเจ้าของสเปิร์มเด็ก9คน อาจเป็นเศรษฐีญี่ปุ่น

เผยชายเจ้าของสเปิร์มเด็ก9คน อาจเป็นเศรษฐีญี่ปุ่น

ตร.เผยชายชาวญี่ปุ่นเจ้าของสเปิร์มเด็ก9คน อาจเป็นทายาทมหาเศรษฐีตลาดหุ้นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น

ความคืบหน้าในการตรวจสอบกรณีการอุ้มบุญเด็ก 9 คน ที่พบในคอนโดมิเนี่ยมย่านลาดพร้าว ล่าสุดมีรายงานว่า ตำรวจชุดตรวจสอบกรณีนี้ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการญี่ปุ่น เพื่อขอความร่วมมือในการตรวจสอบประวัติของ นาย shigeta mitsutoki อายุ 24 ปี หลังมีชื่อปรากฏในสื่อต่างๆ ว่าเป็นเจ้าของสเปิร์มที่นำไปทำเด็กอุ้มบุญจนคลอดเด็ก 9 คนที่พบ ซึ่งได้รับการยืนยันจากทางการญี่ปุ่นว่า ชาวญี่ปุ่นมีชื่อและนามสกุลที่ใกล้เคียงกันหรือซ้ำกันหลายคน การตรวจสอบจึงต้องนำวันเดือนปีเกิดไปเปรียบเทียบ แต่ในเบื้องต้นชื่อของบุคคลนี้มีรายหนึ่งที่เป็นทายาทของมหาเศรษฐีตลาดหุ้น อันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น

หลังกรณีกลายเป็นข่าวซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนในประเทศญี่ปุ่นด้วย ได้มีการตรวจสอบบุคคลเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ยังไม่พบว่า นาย shigeta mitsutoki เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามแม้ชายชาวญี่ปุ่นรายนี้จะเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นจริง ทางการญี่ปุ่นก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ เพราะยังไม่มีความผิดตามกฎหมายญี่ปุ่น เพราะจากการตรวจสอบประวัติอาชญากรก็ไม่พบ และไม่มีข้อมูลว่าไปเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยากูซ่าแต่อย่างใด

แหล่งข่าวในชุดตรวจสอบกรณีนี้ ให้ข้อมูลด้วยว่า การดำเนินการกับชายชาวญี่ปุ่นคนนี้จะเกิดขึ้นได้หากทางการไทยมีการแจ้งข้อกล่าวหาการกระทำผิด แล้วประสานงานตามขั้นตอนอย่างเป็นทางการไปยังทางการญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของศาลญี่ปุ่นว่าจะอยู่ในข่ายที่ต้องตรวจสอบหรือไม่ หากศาลพิจารณาแล้วเห็นควรให้สอบสวน กระบวนการตรวจสอบต่าง ๆ จึงดำเนินการได้

ในการตรวจสอบพบว่า นาย shigeta mitsutoki อายุ 24 ปี ได้ถือหนังสือเดินทางของประเทศกัมพูชา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการญี่ปุ่น ยืนยันว่า เป็นเรื่องปกติเพราะในกัมพูชามีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นไปลงทุนประกอบกิจการต่างๆอยู่จำนวนมาก ซึ่งทางการกัมพูชามีหลักปฏิบัติในการให้สิทธิ์นักธุรกิจชาวต่างชาติที่ลงทุนในกัมพูชาสามารถถือหนังสือเดินทางของประเทศกัมพูชาได้ และจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก็พบว่าชายชาวญี่ปุ่นรายนี้มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ กัมพูชา

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสนใจว่า นาย shigeta mitsutoki เดินทางเข้าออกประเทศไทยโดยใช้หนังสือเดินทางของญี่ปุ่น 2 เล่ม รวม 52 ครั้ง และใช้หนังสือเดินทางของกัมพูชาเข้าออกไทยอีก 14 ครั้ง โดยในจำนวนนี้พบว่าในการเดินทางที่น่าสงสัยคือเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2557 ชายชาวญี่ปุ่นรายนี้เดินทางไปยังกัมพูชาด้วยเที่ยวบิน PG 933 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ในเวลา 13.20 น. โดยอุ้มเด็กเล็กเดินทางไปด้วย หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 27 กรกฏาคม 2557 ชายรายนี้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยโดยไม่มีเด็กเล็กคนที่อุ้มออกจากประเทศไทยกลับมาด้วย

นอกจากนี้ยังพบว่าเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ชายชาวญี่ปุ่นคนนี้ได้เดินทางจากกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทยเวลา 18.30 น. ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ โดยเดินทางมาคนเดียว ก่อนที่จะเดินทางกลับออกไปยังประเทศกัมพูชาในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งการเดินทางกลับออกไปในครั้งนี้นั้นชายคนนี้ได้อุ้มเด็กทารกไปด้วย 1 คน

แหล่งข่าวในชุดตรวจสอบเปิดเผยด้วยว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2557 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่มูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี ประสานให้ตำรวจและทหาร ตรวจสอบคอนโดมิเนี่ยมย่านลาดพร้าว กระทั่งพบเด็กจำนวน 9 คน ปรากฏว่าในวันดังกล่าวมีหญิงชาวญี่ปุ่นชื่อ น.ส.OHNO YUKI อายุ 17 ปี ซึ่งมีข้อมูลว่าพักอยู่ในคอนโดมิเนี่ยมและเป็นลูกน้องของ นาย shigeta mitsutoki เดินทางออกจากไทยไปยังกัมพูชา ซึ่งตำรวจชุดตรวจสอบกำลังขยายผลว่าหญิงชาวญี่ปุ่นรายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนี้หรือไม่

ขณะที่การตรวจค้นคลินิก ออลไอวีเอฟ ย่านเพลินจิต หลังจากพบความเชื่อมโยงกับกรณีการอุ้มบุญชายชาวญี่ปุ่นรายนี้ โดยตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล พบ มีเวชระเบียนของเด็ก 13 คน ที่ปรากฏชื่อนาย shigeta mitsutoki เป็นพ่อ โดยมีแม่เป็นคนละคนกัน ซึ่งตำรวจจะขยายผลเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป