พลิกแฟ้ม5นักโทษประหารคดีฆ่าข่มขืน

พลิกแฟ้ม5นักโทษประหารคดีฆ่าข่มขืน

พลิกแฟ้ม...5นักโทษประหารคดีฆ่าข่มขืน

หลัง ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) นักเรียนหญิงชั้น ม.2 ถูก นายวันชัย แสงขาว พนักงานของการรถไฟฆ่าข่มขืนแล้วโยนศพออกจากขบวนรถไฟ ทำให้ประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะเหล่าดารา มีการใช้โซเชียลมีเดียและร่วมเคลื่อนไหวให้มีการแก้กฎหมายลงโทษสถานหนักกับคนร้ายที่ก่อคดี โดยแสดงสัญลักษณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ข่มขืน=ประหารชีวิต บางรายถึงขนาดรวมตัวกันชูป้ายสนับสนุนให้นักโทษในเรือนจำรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาทันทีที่เข้าสู่ประตูเรือนจำ

ทีมข่าวเนชั่นทวี ได้ตรวจสอบคดีข่มขืนย้อนหลัง พบว่า ในอดีตมีการลงโทษประหารชีวิตผู้ก่อเหตุน้อยมาก ซึ่งเท่าที่ตรวจพบมีเพียง 5 คดีที่ท้ายที่สุดแล้วคนร้ายถูกประหารชีวิต คดีแรก สมศักดิ์ พรนารายณ์ ก่อคดีข่มขืนแล้วใช้สายไฟรัดคอเด็กหญิงวัย 15 ปี เสียชีวิต เหตุเกิด ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2538

คนร้ายนี้เป็นเพื่อนกับอาของผู้ตาย เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของเหยื่อหลังจากออกจากคุก ได้อาศัยจังหวะฝนตก สมาชิกในครอบครัวกำลังหลับ จึงกระทำกับเหยื่อแล้วพยายามหลบหนี แต่ถูกตำรวจเชียงคานจับกุมได้ระหว่างรอรถโดยสารใน อ.เชียงคาน หลังถูกจับกุมนายสมศักดิ์ รับสารภาพว่า นอกจากเด็กหญิงวัย 15 ปี รายนี้แล้ว ก่อนหน้านั้นเพียง 1 เดือนได้ก่อเหตุข่มขืนและพยายามฆ่าคนขับรถสามล้อเครื่องในเขต อ.เมือง จ.เลย คดีของนายสมศักดิ์เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลนาน 4 ปี หลังคดีสิ้นสุดเขาถูกประหารชีวิตไปเมื่อปี 2542

รายต่อมา คือ นายพันธุ์ หรือแหล่ สายทอง วัย 34 ปี ก่อคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ภายในโรงเรียนวัดแห่งหนึ่งย่านบางพลัด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2539 โดยคนร้ายรายนี้ได้ลอบเข้าไปแอบอยู่ในห้องน้ำโรงเรียนฉวยโอกาสที่เด็กเข้าห้องน้ำลงมือ โดยคนร้ายรายนี้เพิ่งพ้นโทษจากคดียาเสพติด ออกมาจากคุกไม่ทันครบเดือนก็ก่อคดีฆ่าข่มขืนเหยื่อรายนี้

นายพันธ์ ถูกตำรวจชนะสงครามจับกุมได้หลังก่อเหตุเพียง 1 วัน ในข้อหาซ่องโจร ก่อนที่ตำรวจบางพลัดจะประสานขออายัดตัวมาให้เพื่อนนักเรียนของเหยื่อชี้ตัว ซึ่งผู้ต้องหาสารภาพในเวลาต่อมาหลังจำนนต่อหลักฐานที่พบในจุดเกิดเหตุ คดีนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลนาน 4 ปี ก่อนที่คนร้ายรายนี้จะถูกประหารชีวิตไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2542

ถัดมาคือ นายเดชา สุวรรณสุก วัย 49 ปี ก่อคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ซึ่งเป็นบุตรสาวของตัวเอง เหตุเกิดที่โรงไม้แห่งหนึ่งย่านสุวินทวงศ์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2539 ตำรวจจับกุมคนร้ายรายนี้หลังจากตรวจพบตามร่างกายมีรอยขีดข่วน แต่นายเดชากลับอ้างว่า บุตรชายซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ตายน่าจะเป็นคนกระทำแต่ต้องจำนนต่อหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ คืออสุจิที่พบในตัวเด็ก ซึ่งเมื่อนำไปผ่านกระบวนการตรวจสอบดีเอ็นเอแล้วตรงกันกับดีเอ็นเอของนายเดชา

นายเดชา เคยต้องคดีลักทรัพย์ถูกจับกุม 2 ครั้ง มีพฤติการณ์ดื่มสุรามึนเมา และมักทำร้ายคนในครอบครัวเป็นประจำ โดยวันเกิดเหตุนายเดชาดื่มสุราจนเมา แล้วอ้างว่าก่อเหตุข่มขืนลูกสาวเพราะต้องการระบายความแค้นที่ภรรยาหนีไปอยู่กับชายอื่น

นายเดชา ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต และถูกส่งคุมขังในเรือนจำบางขวาง ซึ่งผ่านกระบวนการในศาลอุทธรณ์ ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิต และถูกประหารชีวิตไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2542 หลังก่อเหตุ 4 ปี

รายที่ 4 ต่อมา คือ นายอำไพ ใสโพธิ์ วัย 26 ปี เป็นคนร้ายในคดีข่มขืนฆ่าอีกรายที่ถูกประหารชีวิต โดยคนร้ายรายนี้ลงมือกระทำกับเหยื่อซึ่งเป็นเด็กหญิงวัยเพียง 2 ขวบ 3 เดือน เหตุเกิดใน อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ เมื่อปลายเดือนเมษายน 2541 คนร้ายรายนี้ได้ขโมยเด็กจากร้านค้าในหมู่บ้าน โดยหลอกจะซื้อขนมให้เด็กแล้วพาไปกระทำในป่าท้ายหมู่บ้าน โดยอ้างว่า ก่อเหตุเพราะเมาสุรา เมื่อล่วงละเมิดแล้วได้ใช้ไม้ตีเด็กจนเสียชีวิต คดีนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี 3 ปี ก่อนศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นประหารชีวิตคนร้ายรายนี้ไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2544

รายสุดท้ายคือ นายเก้า ปั้นหยัด วัย 29 ปี ก่อคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ในเขต อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อเดือนเมษายน 2539 โดยคนร้ายรายนี้ได้ฉวยโอกาสขณะเหยื่อออกจากบ้านไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้แม่ ผ่านคลองชลประทาน ซึ่งเป็นที่เปลี่ยว จึงถูกคนร้ายรายนี้ที่อาบน้ำอยู่ในคลองลงมือ เสร็จแล้วได้โยนศพลงน้ำอำพรางการตายเบี่ยงเบนคดีให้เชื่อว่าเด็กจมน้ำเสียชีวิต นายเก้าต่อสู้คดีในชั้นศาลอยู่นานเกือบ 4 ปี ก่อนถูกประหารชีวิตไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2542