พระป่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สั่งสอนหลักการ นั่งสมาธิภาวนา ในวิถีปฏิบัติของพระป่ากรรมฐาน กับการปลดปลอ่ยจิตใจให้หลุดพ้นบ่วงกรรม
พระอาจารย์อินทร์ถวาย พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สั่งสอนหลักการ นั่งสมาธิภาวนา ในวิถีปฏิบัติของพระป่า กับการปลดปลอ่ยจิตใจให้หลุดพ้นบ่วงกรรม
พระอาจารย์ อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย บ้านนาคำน้อย ต.บ้านก้อง อ.นายูง จ.อุดรธานี พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และเป็นศิษย์เอกของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แนะว่า การภาวนาตามแนวทาง หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นอาจารย์ขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตว่า ท่านทั้งสองสอนให้นั่งสมาธิ ก่อนที่จะนั่งสมาธิ ต้องกราบพระเสียก่อน กราบที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีพระพุทธรูป ให้พระพุทธรูปอยู่ในใจของเรา แล้วน้อมระลึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ
"ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปถึงพุทธคยาเสียก่อนจึงจะพบพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ เราน้อมถึงพุทธคยา น้อมถึงพระพุทธเจ้าได้ในใจของเรา แล้วสวดมนต์ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ สามจบแล้วแผ่เมตตาเป็นภาษาใจ ขอให้ข้าพเจ้าเป็นสุข ผู้อื่นจงเป็นสุข ข้าพเจ้าต้องการความสุขอย่างไร ผู้อื่น สัตว์อื่น วิญญาณอื่น ทั่วไตรโลกธาตุ ขอให้มีความสุขอย่างที่ข้าพเจ้าต้องการ อย่างที่ข้าพเจ้าปรารถนา ทุกๆ ดวงใจ ทุกๆวิญญาณด้วยเทอญ"
หลวงพ่อแนะอีกว่า เราแผ่เมตตาเพื่อไม่ให้เป็นพิษเป็นภัย ไม่ต้องจองเวรจองกรรมกับผู้ใดใครทั้งหมด เพราะต่างคนก็ต่างมีกรรมของใครของมันมาเกิด เราจะไปผูกพยาบาทอาฆาตกับใคร จากนั้นก็กราบ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แถมท้ายด้วย 'นิพพานัง' ด้วยนะ
กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เพื่อหวังพระนิพพาน จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย แล้วประนมมือเสียก่อน คือไหว้ครูเสียก่อน ไหว้พระพุทธเจ้า
ส่วนที่เรานั่งภาวนา ไม่ใช่คนอื่นสอนนะ พระพุทธเจ้าประทานให้ พุทโธ ธัมโม คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สังโฆคือพระสงฆ์สาวกที่นำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบอกกล่าวให้เราปฏิบัติ พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามจบ แล้วก็แผ่เมตตาอีกก็ได้ ทำให้จิตใจเราอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง แล้วก็อยู่กับคำบริกรรม พุทโธ หายใจเข้า 'พุท' หายใจออก 'โธ' ทุกครั้งในการนั่งสมาธิ
"หลวงปู่มั่นบอกว่า ถ้าเรากำหนดลมหายใจเข้า-ออก ธรรมดา มันหลุดได้ง่าย ให้เอาพุทโธเข้าไปด้วย หายใจเข้า 'พุท' หายใจออก ' โธ' ให้สติ จับอยู่ที่ปลายจมูก เหมือนเรายืนอยู่ข้างประตู เวลาลมออกไปก็อย่าตามลมออกไป เวลาลมเข้ามาก็อย่าตามลมเข้าไป เพียงแต่ให้รู้ว่า ลมเข้า ลมออก ให้มีสติอยู่ที่ปลายจมูก นี่คือ กรรมฐาน
เมื่อเรากำหนดลมหายใจเข้า หายใจออกไปเรื่อยๆ จะพบกับสมาธิ (มี 3 ขั้น คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ ) จนกระทั่ง สติเป็นอันไหน จิตเป็นอันนั้น นั่นแหละ ให้เราเข้าใจว่า เหมือนการขับรถ กายคือรถ ใจคือคนขับรถ ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้ความสำคัญกับใจ เรื่องทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วด้วยใจ โชเฟอร์เป็นใหญ่ โชเฟอร์เป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วด้วยโชเฟอร์"
หลวงพ่ออินทร์ถวายกล่าวต่อมาว่า สังขาร ต่อให้เราเลี้ยงดีแค่ไหน สักวันก็เห็นผมขาว เดี๋ยวก็เห็นฟันหลุด เดี๋ยวก็เห็นหนังเหี่ยว ผลที่สุดก็เห็นตัวเองตาย นี่คือร่างกาย จบแค่นั้น แต่ใจ คือ โชเฟอร์ ต้องออกจากรถ ต้องออกจากร่างกาย ถ้าโชเฟอร์ออกจากร่างโดยไม่มีทุน โชเฟอร์นั้นจะจน ถ้าโชเฟอร์นั้นสั่งสมบุญกุศล ก็จะได้กุศลเข้าสู่จิตใจ ออกจากรถคันเก่าก็ไปเลือกเอารถคันใหม่ได้
"หลวงปู่มั่นท่านก็สอนให้พิจารณา สมถะ คือการทำจิตใจให้สงบ ทำจิตให้เป็นหนึ่งแล้ว ก็พิจารณาร่างกาย พิจารณาอะไรเล่าในร่างกาย คนมันหลงอะไร ใจของเรา โชเฟอร์มันหลงอะไร มันหลงรถ ที่ตัวเองเคยใช้รถหรูๆ มันหลง ว่านี่คือรถของเราแท้ๆ แต่จริงๆ ไม่ใช่ พอวันหนึ่งมันหมดสภาพ แน่ใจหรือ อย่าหลงตัวเองนะ ถ้ามันไม่หลงร่างกาย จะไม่หลงอย่างอื่นเลย ทุกวันนี้ที่มันหลง ที่มันวุ่นวายอยู่ก็เพราะหลงร่างกายตัวเองทั้งนั้น ว่าตัวเองจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน หลงที่เขายกย่องสรรเสริญ เมื่อหลงตัวเอง เลยหลงทุกอย่าง หลงสามี ภรรยา หลงลูก หลงทรัพย์สมบัติ หลงไปหมดทุกอย่าง
"ให้ใจ บอกตัวเองว่า อย่าไปหลงนะ สักวัน แกจะต้องทิ้งทั้งหมด กระดูกของแกก็ต้องทิ้งหมด สิ่งเหล่านั้น อย่าไปคิดว่าเป็นของเรา ใจนั้นก็ต้องทิ้งนะ วางนะ ใจ ขนาดร่างกาย ยังไม่ใช่ของเรา อย่างอื่นจะเป็นของเราได้อย่างไร ให้โชเฟอร์ถามโชเฟอร์ ให้ใจถามใจ เมื่อใจถามใจจะไม่หลง ไม่ลืมตัว อันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำ อันไหนเหมาะสม อันไหนไม่เหมาะสม อันไหนถูกต้อง อันไหนไม่ถูกต้อง โชเฟอร์ต้องพิจารณาตนเอง เมื่อโชเฟอร์ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นกระทั่งตัวเองอีก นั่นแหละ มรรคผล นิพพานอยู่ที่นั่น อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ...ใช่หรือเปล่า?"







