'เด็กจมน้ำ'ความตายที่ป้องกันได้

"เด็กจมน้ำ"ความตายที่ป้องกันได้ "ผอ.กิตติ "แนะนำแกลลอนผูกเชือกไปวางไว้ใกล้ๆหากมีคนจมน้ำ คนบนฝั่งก็จะได้โยนแกลลอนไปช่วยเหลือ
ในช่วงปิดเทอมซึ่งตรงกับฤดูร้อนแบบนี้ สังคมไทยมักได้ยินข่าว "เด็กจมน้ำ" อยู่บ่อย ๆ แต่หากใครจะพูดว่า "ปิดเทอม-อากาศร้อน-เด็กเล่นน้ำ-จมน้ำตาย" เป็นเรื่องประจวบเหมาะ สอดคล้องต้องกัน และป้องกันไม่ได้ ก็ดูจะเป็นการลดทอนข้อเท็จจริงอย่างมากเลยทีเดียว....
ลลิตา เอียดผักแว่น ชาวบ้านทุ่งสะแบง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา สูญเสียลูกชาย เด็กชายธนวัฒน์ ญาติกลาง หรือ น้องน็อต วัยห้าขวบกว่าไปกับการจมน้ำเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2557ในระหว่างที่ให้ลูกไปอยู่บ้านญาติฝ่ายพ่อในช่วงปิดเทอม ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเพียงหนึ่งวัน เธอได้โทรศัพท์ถามพ่อของน้องน็อตว่าจะนำน้องน็อตมาส่งคืนให้เมื่อไร เพราะน้องน็อตจะเปิดเทอมเพื่อขึ้นอนุบาล 2 ในวันที่ 1 พ.ค. ซึ่งพ่อของน้องน็อตบอกว่าอีกสองสามวันจะนำน้องน็อตมาส่ง...แต่ลลิตาไม่มีโอกาสได้เจอลูก เพราะวันรุ่งขึ้นน้องน็อตก็ต้องมาจมน้ำเสียชีวิตลง...
"ไม่ได้คิดว่าจะเป็นลูกตัวเองที่ต้องเสียเพราะจมน้ำ เพราะว่าไม่เคยพาไปเล่นน้ำเลย อยู่แต่บ้านตลอด ไม่เคยพาไปเที่ยว ไม่คิดว่าจะเป็นลูกตัวเอง" ลลิตาเล่าในขณะที่เธอยังคงทำใจไม่ได้กับการสูญเสียลูกชาย
ที่บ้านหนองแหน ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ช้อย วางกลาง และ อำไพ นายโซ๊ะ ปู่และย่าทวดของน้องน็อตเล่าว่า ในช่วงสายๆ ของวันเกิดเหตุหลังจากกลับจากทำบุญที่วัดแล้ว ปู่และย่าทวดได้เข้าไปในบ้าน ปล่อยให้น้องน็อตเล่นอยู่หลังบ้าน ครู่เดียวเมื่อกลับออกมาทั้งคู่ก็พบว่าน้องน็อตได้หายตัวไปพร้อมกับสุนัข จากนั้นญาติๆ และชาวบ้านต่างก็ช่วยกันตามหา จุดมุ่งหมายก็คือสระและบ่อน้ำที่อยู่รอบๆ หมู่บ้าน
สภาพพื้นที่ของหมู่บ้านหนองแหนก็เช่นเดียวกับหมู่บ้านในชนบททั่วไป ที่บ้านเรือนของชาวบ้านจะอยู่ติดกับทุ่งนาทุ่งไร่ของชาวบ้าน จะต่างไปก็ตรงที่พื้นที่นาของชาวบ้านหนองแหนไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของชาวบ้าน หากแต่เป็นของ บริษัท เกลือพิมาย จำกัด ที่มาซื้อที่นาของชาวบ้านเพื่อทำอุตสาหกรรมเกลือ ในขณะที่ยังคงให้ชาวบ้านเช่าทำนาไปด้วย ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขต ต.สัมฤทธิ์ อ.พิมาย
สภาพที่เห็นในทุ่งนาจึงมีทั้งสระน้ำที่เกิดจากการขุดดินเพื่อนำไปใช้ถมให้แน่นเป็นฐานสำหรับเครื่องขุดเจาะบ่อเกลือ รวมทั้งมีบ่อพักน้ำเกลือ ซึ่งชาวบ้านประเมินคร่าวๆ ว่ารวมๆ แล้วน่าจะมีอยู่สักราวๆ 30 บ่อ
จุดหมายปลายทางแรกของการค้นหาน้องน็อต ก็คือ สระน้ำที่อยู่ใกล้กับบ้านมากที่สุด อยู่ห่างจากตัวบ้านไปกลางทุ่งนาประมาณ 600 เมตร ที่นี่ชาวบ้านได้พบร่องรอยรองเท้าเด็กและรอยเท้าสุนัข ชาวบ้านจึงช่วยกันงมหาแต่ไม่พบ จนกระทั่งราว 5 โมงเย็นจึงไปพบว่าน้องน็อตจมน้ำอยู่ที่บ่อพักน้ำเกลือ ห่างจากบ้านไปราว 2 กิโลเมตร
หลังเหตุการณ์น้องน็อตจมน้ำเสียชีวิตในบ่อพักน้ำเกลือ ชาวบ้านหนองแหนได้เรียกร้องให้บริษัทเกลือพิมายจัดทำรั้วรอบๆ สระ รวมทั้งให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ดูแลความปลอดภัยให้เข้มงวด
"ผมก็อยากให้ทางบริษัทนี่รัดกุมหน่อย ให้มาทำสิ่งป้องกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านหรือเด็กหรือว่าสัตว์เลี้ยงทุกอย่างเข้ามาประสบภัยในนี้" ประทีบ วางกลาง ชาวบ้านหนองแหนกล่าว พร้อมกับเล่าว่าที่ผ่านมาแม้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงจนกระทั่งทำให้ชาวบ้านเสียชีวิต แต่ก็มีสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านจมน้ำตายมาแล้ว
ชาญชัย ศุภวีระกุล หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ ฮุก 31 นครราชสีมา ที่นำทีมงานมาดำน้ำหาน้องน็อต กล่าวว่า สระน้ำกลางทุ่งนาเปรียบเสมือนกับดัก
"ถ้าเป็นแหล่งน้ำที่เป็นแหล่งน้ำสาธารณะ แหล่งน้ำที่เป็นจุดเสี่ยง น่าจะทำรั้วรอบขอบชิด เพราะว่าถ้าเราไม่ทำ เราไม่ป้องกัน มันก็จะเกิดปัญหาอย่างที่เกิดขึ้น อย่างน้องน็อตเขาเป็นเด็กต่างถิ่น ผู้ปกครองมาฝากไว้ในช่วงปิดเทอม เด็กก็จะไม่รู้หรอกว่าแหล่งน้ำนี้มันอันตรายอย่างไร เมื่อไม่มีรั้ว เขาก็จะลงไปเล่น ก็เป็นเหมือนกับดักธรรมชาติ ดังนั้นแหล่งน้ำใดที่เป็นจุดเสี่ยงต้องทำรั้วรอบขอบชิดให้เรียบร้อย มีป้ายเตือนว่าห้ามลงเล่น หรือทำสัญลักษณ์ว่ามันอันตราย"
ด้าน อรุณ อินเจริญศักดิ์ ผู้จัดการโรงงานบริษัท เกลือพิมาย จำกัด ระบุว่า บริษัทเกลือพิมายวางแผนที่จะทำรั้วรอบบ่อพักน้ำเกลือ และจะเกรดเส้นทางปิดเส้นทางเดินที่ไปยังบ่อพักน้ำเกลือทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก...
แต่นั่นก็เป็นแผนการหลังจากเกิดเหตุเศร้าสลดแล้ว!
"คำถามที่จะต้องเกิดขึ้นเมื่อมีเด็กจมน้ำตาย ก็คือ เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างไร รับผิดชอบโดยใคร แทนที่จะไปดูว่าเด็กเล่นอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะฉะนั้นเด็กจมน้ำหนึ่งคน เราถามหาหน่วยงานที่รับผิดชอบ จะเป็นครอบครัว ชุมชน องค์กร หรือหน่วยงานราชการที่จะต้องมีส่วนในการตายครั้งนั้นได้ทุกราย และจะเจอจุดอ่อนทุกราย"
เป็นเสียงสะท้อนจาก นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ถึงกรณีปัญหาเด็กจมน้ำที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งก็ไม่ต่างจากอุบัติเหตุเรื่องอื่นๆ ที่ถือว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเด็ก แต่เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กนั่นเอง
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า การจมน้ำเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งหมดของเด็กไทยในช่วงปี พ.ศ.2546-2556 โดยในรอบทศวรรษที่ผ่านมามีเด็กจมน้ำเสียชีวิตทั้งหมด 14,789 ราย เด็กที่เสียชีวิตจากการจมน้ำมากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ 5-9 ปี ทั้งนี้ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเด็กกลุ่มนี้เสียชีวิต 6,474 ราย
ปัจจุบันแม้ว่าอัตราการตายของเด็กอายุ 5-9 ปีมีแนวโน้มลดลง แต่ก็ลดลงเพียง 12.14% เท่านั้น นพ.อดิศักดิ์ ย้ำว่าแผนงานในทศวรรษต่อไปก็คือ จะต้องเน้นในเรื่องของการฝึกทักษะชีวิตเพื่อความปลอดภัยทางน้ำอย่างจริงจังให้กับเด็กกลุ่มอายุ 5-9 ปี ดังนี้
1.ต้องรู้จักและหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้จุดเสี่ยง 2.ฝึกให้เด็กลอยตัวในน้ำได้ 3 นาที 3.ว่ายน้ำท่าอะไรก็ได้ แต่ต้องว่ายให้ได้ 15 เมตรเพื่อตะกายเข้าฝั่งได้ 4.ช่วยเพื่อนได้ถูกวิธีและมีสติโดยการ ตะโกน-โยน-ยื่น (ตะโกนเรียกให้คนมาช่วย ฝึกการโยน และยื่นอุปกรณ์เข้าช่วยเหลือ) 5.ใช้ชูชีพเสมอเมื่อจำเป็นต้องเดินทางทางน้ำ
การที่จะให้เด็กมีทักษะความปลอดภัยทางน้ำ จะต้องเป็นการร่วมมือกันระหว่างครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ดังเช่นกรณีของโรงเรียนบ้านด่านชัยพัฒนา จ.สระแก้ว
กิตติ ยอดยิ่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนด่านชัยพัฒนา เล่าว่า สระน้ำเพื่อการเกษตรของโรงเรียนซึ่งอยู่ใกล้กับสนามเด็กเล่น ถือเป็นจุดเสี่ยงที่จะต้องป้องกัน ดังนั้นโรงเรียนจึงมีการจัดทำรั้วรอบสระน้ำขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนเพื่อป้องกันเด็กจมน้ำ
และด้วยตระหนักว่าโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน หมู่บ้าน และเด็กนักเรียนก็คือลูกหลานของคนในชุมชน ดังนั้นการป้องกันปัญหาเด็กจมน้ำจึงไม่ได้ทำเฉพาะในรั้วโรงเรียน แต่ได้มีการขยายออกไปในชุมชนด้วย
ผอ.กิตติ จะหาโอกาสให้ความรู้เรื่องการเอาตัวรอดจากการจมน้ำให้กับคนในชุมชนอยู่เสมอ เช่น ในเวทีประชุมหมู่บ้าน...และเนื่องจากโรงเรียนด่านชัยพัฒนาเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในชนบท ไม่มีสระว่ายน้ำเพื่อสอนเด็ก ผอ.กิตติ จึงอาศัยสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนอย่าง เช่น ฝายน้ำล้น มาเป็นแหล่งฝึกว่ายน้ำเพื่อการเอาตัวรอดให้กับเด็กนักเรียน
ในขณะที่บ้านด่านชัยพัฒนาเอง มีจุดเสี่ยงที่เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของชาวบ้านอยู่มากมาย ทั้งสระขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ผอ.กิตติ ก็จะใช้วิธีการนำแกลลอนผูกเชือกไปวางไว้ใกล้ๆ กับแหล่งน้ำเหล่านั้น เพื่อที่ว่าหากมีคนจมน้ำ คนบนฝั่งก็จะได้โยนแกลลอนไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที...
การแขวนแกลลอนไว้ข้างๆ สระ นอกจากมีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้คนกรณีที่เกิดเหตุการณ์จมน้ำแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์เพื่อเตือนว่าอย่าประมาทด้วย!




