ลุลา...ตุ๊กตาหน้ารถ

เธอแจ้งเกิดด้วยแนวการร้องเพลงสไตล์บอสซาโนว่าคนแรกๆ ของเมืองไทย และน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ สดใส มีชีวิตชีวา
ลุลา - กันยารัตน์ ติยะพรไชย คุยในวัย 34 ปีดูเหมือนสาวน้อย ตัวเล็กและบอบบางกว่าที่เห็นในรูป เธอบอกว่าไม่ได้หายไปไหน ยังร้องเพลงเพราะรักจะร้อง ยังคิดถึงแฟนคลับ และค่อย ๆ ปล่อยผลงานทีละเล็ก ทีละน้อย กันลืม
“ผลงานล่าสุดเป็นเพลงประกอบละครช่อง 3 เรื่อง “รอยฝันตะวันเดือด” น่าจะออกอากาศเดือนเมษาหรือพฤษภาค่ะ เรื่องนี้ ณเดชน์ ประกบคู่ ญาญ่า”
แฟนลุลาจะได้ฟังเสียงของสาวเสียงหวาน เอื้อนนิดออดหน่อย สไตล์บอสซาโนว่า ลุลาบอกว่าเนื่องจากธุรกิจดนตรีเปลี่ยนไป ผลงานเพลงส่วนตัวน่าจะเป็นซิงเกิ้ลที่จะปล่อยช่วงกลางปี แต่เธอก็ยังแสดงคอนเสิร์ตต่อเนื่องแนวร้องเพลงในร้านอาหารหรือผับ รวมถึงร้องเพลงตามงานอีเว้นท์ต่างๆ แล้ว เมื่อมีงานที่ต้องร้องเพลงใช้เสียงประกอบอาชีพ คนเสียงเล็กอย่างเธอและออกงานสไตล์โชว์เสียงก็ต้องถนอมน้ำเสียงให้ดีอยู่เสมอ
“ยังคุยกับทีมงานเลยว่า เราต้องออกซิงเกิ้ลทุกสองเดือนหรือเปล่า บางครั้งที่ไม่ได้มีงานในสื่อแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราหายไป ยังร้องเพลงประจำ มีงานอยู่เรื่อยๆ เป็นงานภายในที่ไม่ได้โปรโมทค่ะ อาจเป็นช่วงที่กำลังวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไป อีกอย่างเราไม่ชอบออกงานสังคมด้วย จะทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ อยู่กับบ้าน
การเป็นนักร้องไม่เหมือนเป็นดารา การเป็นดาราต้องทำอีเว้นท์ มีข่าวอยู่เรื่อยๆ หรืออยู่ในกระแสตลอดเวลา แต่เป็นนักร้องคือไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วคนกลับมาพูด เล่าปากต่อปากว่า เออ...ร้องเพลงเพราะนะ ทำให้เหมือนไม่มีสูตร บางคนร้องเพลงออกเพลงเดียวอยู่ได้ทั้งปีก็มี แต่หลักๆ คือไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตใหญ่ๆ แต่เสียงเราเหมือนอยู่ในสังขารด้วย มันต้องโรยราได้ เพราะฉะนั้น เราต้องบาลานซ์ และเสียงเราก็เล็กๆ แนวอีซี่ ลิสเทนนิ่ง จึงต้องประคองตัวตลอด”
ลุลาบอกว่า ดูแลเสียงด้วยการดูแลสุขภาพ เนื่องจากงานอีเว้นท์หรือคอนเสิร์ตเวทีเล็กนั้นเน้นเส้นเสียงเป็นสำคัญ งานเล็กๆ คนดูกลุ่มย่อยๆ ดนตรีฟังเบาๆ สบายๆ เสียงป่วยมาเมื่อใดคนฟังจะจับได้ทันที
“เราโชคร้ายอยู่หน่อยว่า เสียงของเรามักจะผูกกับจิตใจ ถ้าช่วงไหนจิตใจไม่ค่อยดีเสียงจะค่อนข้างแย่ไปด้วย บางช่วงควบคุมไม่ได้ แต่พอเราโตขึ้นเราจะควบคุมมันได้ ก็มีบ้างช่วงที่ทำงานหนักๆ ราวสองปีก่อน ต้องร้องเพลงวันเว้นวันเลยนะ ก็จะดูแลตัวเองด้วยการห่มผ้าสองชั้นปิดถึงคอทุกคืน แล้วก็จะไม่ค่อยเป็นอะไร เรื่องดื่มน้ำอุณหภูมิปกติทำอยู่แล้ว แต่ก็มีบางทีร้อนๆ มาก็อยากกินเป๊ปซี่หรือไอศกรีมเย็นๆ แต่ถึงเวลาที่ต้องมีโชว์เราก็ดูแลตัวเองเข้มข้นขึ้น แอลกอฮอล์หยุดไปนานแล้ว
ตอนนี้กินแตงโมปั่นอร่อยกว่า บุหรี่ก็ไม่ได้สูบเลยเพราะเรารักเสียงเรามาก แต่เรื่องเหล่านี้ก็เป็นส่วนบุคคลนะ ศิลปินร็อคบางคนกินเท่าไหร่เสียงก็ยังดีอยู่ แต่สำหรับเราเพลงแนวอีซี่นี่เสียงเล็กๆ มันจะละเอียด ในการแสดงระบบเสียง แสง มันลิงค์กันหมด แล้วเราร้องในงานชิลล์ๆ ไม่ใช่ในที่ตื๊ดๆ... เราค้นพบเลยว่าเสียงเราจะพังในงานโชว์เบาๆ มากกว่าถ้าคุณภาพเสียงแย่”
สิ่งที่ใช่ ใจที่ชอบ
ลุลา ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “หนู” คุณหนูเสียงน้อยเล่าต่อว่า แม้ธุรกิจดนตรีเปลี่ยนไป แต่อาชีพนักร้องเป็นสิ่งที่เธอรัก จะขอร้องเพลงไปเรื่อยๆ และค้นพบว่า ดนตรีสไตล์บอสซ่า ทุกวันนี้ก็ยังฮิต จากผลงานอัลบั้มรวมชุดแรก 2 Become 1 ตั้งแต่ปี 2547 ที่ลุลาแจ้งเกิดและนับเป็นนักร้องสไตล์บอสซาโนว่าคนแรกๆ ของเมืองไทย ลุลาเล่าย้อนถึงตัวเองแรกแจ้งเกิดว่า
“ตอนนั้นเมืองนอกกระแสบอสซ่ามาแล้ว เช่น ลิซ่า โอโนะ, โอลิเวีย วอง กับเคลมองทีน (Clementine) ของฝรั่งเศส และโปรดิวเซอร์พี่เต๊ด เขามองการณ์ไกล จับตลาดเก่ง เขาก็บอกชื่อลุลา...แล้วมันร้องสไตล์บอสซ่า เพลงแรก “ตุ๊กตาหน้ารถ” ดูเหมือนอะไรคล้องจองกันหมด...”
ลุลา เลยแจ้งเกิดในชื่อแกล้งๆ เรียกจากเจ้านายเก่าที่ใส่แผงดัดฟันทำให้พูดไม่ชัด จากชื่อเล่นจริงของเธอ..."ตุ๊ก-ตา” เรียกไม่ชัดเข้าเพื่อนที่ออฟฟิศก็เลยล้อไปล้อมา กลายมาเป็นชื่อแจ้งเกิดกับแนวเพลงที่ใช่ หากก่อนหน้านั้นลุลา รู้ตัวเองมานานแล้วว่าชอบร้องเพลง แต่เถลไถลไปเรียนมัณฑนศิลป์ที่เมลเบิร์น กลับมาทำงานประจำราวสองปี แล้วกลับมาจับไมค์ทำงานที่ตัวเองมีความสุข
“หนูเกิดมาในครอบครัวที่เป็นจี๊น-จีน คุณแม่ก็ไม่ชอบให้เป็นนักร้องแต่คุณแม่ชอบศิลปะ ชอบดนตรี แต่พอบอกเป็นนักร้องจะคิดว่าไม่ดี อาชีพเต้นกินรำกิน แต่หนูเกิดมาชอบร้องๆ เต้นๆ คุณแม่ก็ให้ไปเรียนบัลเล่ต์ ส่งไปเรียนเปียโน เราก็เริ่มขอเรื่อยๆ เช่น อยากเรียนวาดรูป จบ ม.ปลายที่โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) ก็ขอไปเรียนเมืองนอกเพราะชอบภาษาอังกฤษ คุณแม่ก็ให้ไป ต่อปริญญาตรีมัณฑนศิลป์ เอกนิทัศน์ศิลป์ อยู่เมลเบิร์น 5 ปี อยู่ที่โน่นก็วาดรูป ออกแบบ ดนตรีไม่แตะเลย แต่ระหว่างทางนั้นมีคนชวนไปเป็นนักร้องตลอด
ตอนเด็กๆ คิดว่าจะไม่ทำอาชีพนักร้องเพราะกลัวว่ามาเป็นจริงๆ แล้วจะเกลียดมัน เหมือนเด็กๆ ชอบกินขนมนะแต่ก็กลัวว่ากินเยอะแล้วจะเลี่ยน อีกอย่างแม่ไม่ชอบด้วย ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยลืมว่าเราชอบร้องเพลงนะ แต่เหมือนเราต่อต้านเพราะรู้ว่าแม่ไม่ชอบ เราไม่อยากทำให้แม่เสียใจ แต่พอถึงจุดหนึ่งเริ่มโตขึ้น เริ่มตอบคำถามตัวเองได้ว่าอยากเป็นอะไร เราแอบทำอัลบั้มไว้ ออกแบบหน้าปก โลโก้ ดนตรีเป็นแบบไหน คิดไว้หมด ทำคอมพิวเตอร์เอาไว้เพราะเราเรียนออกแบบมา พอเรียนกลับมาแม่สบายใจแล้วมันไม่เป็นนักร้องแน่ แต่กลับมาติดต่อกับเพื่อนสมัยเรียน เอางานออกแบบที่ทำแปลนเอาไว้ส่งไปที่แกรมมี่ ไม่มีใครรู้ ใช้เวลาเกือบสองปีก็เป็นอัลบั้มดูโอชื่อ ทู บีคัม วัน (2 Become 1)”
ผลงานแรกของเธอนำไปสู่สงครามย่อยๆ ในครอบครัว
“แม่มายืนกันหน้าประตูบ้านไม่ให้ออกไปร้องเพลง แม่ยื่นคำขาดไม่ให้เป็นนักร้อง ตอนนั้นก็ลำบากนะ เป็นฟรีแลนซ์อยู่เลยตัดสินใจมาทำงานประจำต่อ บวกกับทำอัลบั้มแล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ทำงานหนักมาก 7 วัน ไม่ได้เจอหน้าแม่ จากงานออกแบบก็เริ่มทำโปรเจค เมเนเจอร์ ควบคุมการผลิตแสงสีเสียง มาดูคิวงาน เขียนสคริปต์ หนักค่ะ บางงานหลักสิบล้านพลาดไม่ได้ ทำไปไม่กี่เดือนเงินเดือนขึ้น ตำแหน่งขึ้น แต่รู้สึกว่าทำได้ดีแต่ไม่มีความสุข วันๆ หันหน้าเข้ากำแพงอยู่หน้าคอมพ์ เหมือนเราพยายามเพื่อแม่แล้วแต่มันไม่ชอบ ตอนนั้นบ้านเหมือนลุกเป็นไฟ หนูก็เสียใจเหมือนทำให้แม่ไม่สบายใจ... สุดท้ายพี่โปรดิวเซอร์ติดต่อมาจะทำเพลงนอกกระแสชวนมาทำอัลบั้มเดี่ยว”
ในที่สุดศิลปินสาวบอสซ่ารายแรกก็แจ้งเกิดเต็มตัว และท้ายสุดครอบครัวก็เริ่มเข้าใจ มองว่าอาชีพเต้นกินรำกินยุคนี้ ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม และปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบได้ ขึ้นอยู่กับตัวเอง สถานที่ และสิ่งแวดล้อม
“แม่เริ่มรู้จากที่ฟังคลื่นกรีนเวฟตอนตีสองทุกวัน ตื่นมาจะได้ยินเพลง “ทะเลสีดำ” ท่านก็รู้แล้วว่าจะหยุดเราไม่ได้ แต่ก็ดูห่างๆ เมื่อพฤติกรรมเริ่มน่าเป็นห่วง แต่หนูเข้าใจพ่อแม่ที่จะเป็นห่วงเราในทุกรายละเอียดของชีวิต แล้วพอเราเริ่มโตขึ้นก็เข้าใจแม่มากขึ้น เราเป็นลูกสาวคนเดียวคนสุดท้องด้วย จนทุกวันนี้เพื่อนมีลูก เราก็โตขึ้น บางทีก็พาแม่ไปเห็นด้วยว่าเราทำงานอย่างนี้นะ เป็นเจนเนอเรชั่นอีกยุคหนึ่งที่เปลี่ยนไปแล้วไม่เหมือนแบบก่อน คนไม่ดี สถานที่ไม่ดี เราไม่ได้ไปอยู่ในนั้น ร้องเพลงเสร็จแล้วก็กลับบ้าน”
Lula Home Style
แม้ลุลาจะออกจากแกรมมี่หลังอยู่ในสังกัดราว 2 ปี แต่อาชีพจับไมค์ขายเสียงหวานๆ น้อยๆ ของเธอก็ไม่เคยห่างหายจากแฟนคลับ แถมมีงานใหม่ “ลุลา โฮมสไตล์” ออกแบบเองผลิตเอง ทำขายในเฟซบุ๊ค
“อยากทำแบรนด์ของตัวเอง เป็นเสื้อผ้าที่ใช้ในบ้านสไตล์แม่บ้านญี่ปุ่น ชอบตัดผ้า ชอบสี เล่นลาย เวลาทำสีพาสเทลแล้วผู้หญิงเห็นจะชอบ พวกงานประดิดประดอยก็ได้จากแม่ ปีที่แล้วทำผ้าห่ม เสื้อคลุม ไม่ได้ทำเยอะแต่ผลตอบรับดี ปีนี้ก็จะทำให้มากขึ้น สม่ำเสมอขึ้น มีไอจี เฟซบุ๊ค ทำให้จริงจังขึ้น ในอนาคตจะทำเฟอร์นิเจอร์กับของใช้ในบ้าน เซรามิคก็ชอบนะคะ สนุกดี บอกแม่ว่าอยากทำช็อปแล้วมีมุมให้ถักนิตติ้ง โครเชท์ แม่ก็ชอบ ไม่ต้องทำแต่ในบ้าน ดูดวงตามีประกายมีความหวัง...”
ใครเป็นแฟนลุลา ฟังเพลงแล้วติดตามหาซื้อของตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าสวมสบายผลงานที่เธอออกแบบเองใน Lula Home Style หรือบางทีอาจจะเห็นเธอวิ่งหรือปั่นจักรยานบนถนน เป็นกิจกรรมที่เธอชอบ
“กีฬาประจำนอกจากปั่นจักรยานแล้วชอบวิ่งค่ะ การวิ่ง บางทีคิดอะไรไม่ออกไปวิ่ง วิ่งด้วยรองเท้าดีๆ นะคะอย่าไปเสียดายเพราะจะช่วยชะลอเข่าเราให้เสียช้าลง เคยวิ่งไปคิดงานออก หรือเย็บผ้าก็คิดงานได้ ตลกดีนะ... หนูชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง มีโอกาสจะไปแถวภาคใต้ ไปปีนหน้าผา เป็นหน้าผาหินเลยค่ะแต่ปลอดภัย แล้วก็เล่นเซิร์ฟ ความรู้สึกที่ได้อยู่บนแผ่นเซิร์ฟติดทะเล อธิบายไม่ได้ บางทีก็ไปว่ายน้ำ แต่การปั่นจักรยานกับการวิ่งของคนกรุงเทพน่าสงสารจริงๆ คือบางที่ไม่ให้เอาจักรยานเข้า บางที่ไม่ให้วิ่ง บางที่ไม่ให้เอาสุนัขเข้าไป แล้วการขี่จักรยานเป็นผู้หญิงจะลำบาก เคยขี่หน้าฝนแล้วล้มเข็ดเลย หรือปั่นกลางคืนก็ต้องรวมกลุ่มกับเพื่อน คอยดูแลกันให้ดี”
สาวเสียงน้อยตัวเล็กแต่เล่นกีฬากลางแจ้งเก่งเอาเรื่อง ส่วนเสื้อผ้า-หน้า-ผม ดูแลเองเพราะไม่ได้สังกัดค่ายใหญ่ คอนเสิร์ตใหญ่ก็ยังไม่มี
“ตอนสังกัดค่ายก็เป็นค่ายนอกกระแส ไม่ได้มีงบเยอะ ก็เรียนรู้การดูแลตัวเอง ช่วงออกอัลบั้มมีสไตลิสต์ ดีไซเนอร์ มาช่วยบ้าง แต่ช่วงหลังๆ มาคิดว่าอาจจะดีกว่าก็ได้ เช่น ถ้าเขาเตรียมมาแล้วเกิดเราไม่ชอบ ช่วงหลังมานี้เลยทำเองหมดสบายใจกว่า”
เราต้องดูแลตัวเองจากการรู้จักตัวเอง เป็นสไตล์ที่ชอบถูกใจกว่า ใครเห็นลุลาคงพอนึกออกว่า “ลุลา โฮมสไตล์” ก็บ่งบอกความเป็นตัวตนของเธอได้อย่างชัดเจน
“เคยสรุปกับตัวเองว่า เราเป็นคนมุ่งมั่นหรือเป็นคนดื้อ เช่นที่แม่ไม่อยากให้เป็นนักร้องเราก็เป็น เรามุ่งมั่นที่รักการร้องเพลงหรือเราต้องเป็นให้ได้ เพราะเราดื้อ”
สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วดีเสมอ ดูเหมือนสองหัวข้อเกิดในเหตุการณ์เดียวกัน เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมเรียกว่า “อดีต” ส่วนวันข้างหน้าคิดกันดีกว่าว่า “ลุลา” จะยังจับไมค์ร้องเพลงอยู่หรือเปล่า เจ้าตัวตอบว่า
“อนาคตตอนนี้คิดแค่ว่า วงการดนตรีต้องให้มันพาไป ส่วนตัวเราก็กำหนดได้แค่ว่าปีนี้มีบ้าน มีรถ กำหนดตัวเองก่อเช่นไปเรียนต่อมั้ย เวลาคิดอะไรไม่ออกจะชอบไปเรียน อย่างปีนี้คิดว่าจะไปเรียนตัดเสื้อเพิ่มเติม แล้วก็คิดว่าจะดูแลแม่อย่างไร คิดแค่นี้จริงๆ”
แค่คิด...ก็ออกแบบเป็นผลงานจับต้องได้ ทั้งของตกแต่งบ้านและ “เสียง” เอื้อนออดฟังเพลิน อย่าลืม “ตุ๊กตาหน้ารถ” ที่ชื่อ “ลุลา” เพราะเธอไม่เคยลืมว่าตัวเองอยากเป็นนักร้อง และจะร้องเพลงเพราะๆ ให้คนฟังเคลิ้มตลอดไป




