สธ.พบ'ฟอร์มาลีน'ในอาหาร เตือนพิษสะสมเสี่ยงมะเร็ง

สารฟอร์มาลีน มีผลกระทบต่อระบบหายใจ เมื่อสูดดมจะทำให้ปอดอักเสบ ปอดบวม และเมื่อเรากินเข้าไป สะสมในร่างกายมากๆ อันตรายถึงขั้นเกิดโรคมะเร็ง
การตรวจพบ “สารฟอร์มาลีน” ในอาหารหลายชนิด ที่วางขายตามตลาดสด ตลาดนัด ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารแผงลอย กลายเป็นปมปัญหาสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องวางมาตรการเฝ้าระวังและแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะหากประชาชนผู้บริโภคได้รับสะสมปริมาณมากๆ จะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ผลการลงพื้นที่สุ่มตรวจตลาดสด ตลาดนัด ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารแผงลอย 5 แห่ง ใน จ.นครสวรรค์ เมื่อช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาของกระทรวงสาธารณสุข พบการใช้สารฟอร์มาลินสูงถึง 102 ตัวอย่าง จาก 275 ตัวอย่าง โดยอาหารที่ตรวจพบ ได้แก่ กุ้ง ปลาหมึก ปลาหมึกกรอบ ขิงหั่นฝอย กระชายหั่นฝอย เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด ถั่วฝักยาว สไบนาง
แม้ว่าที่ผ่านมากกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศฉบับที่ 93 เรื่องห้ามใช้สาร 6 ชนิด ในอาหาร คือ สารบอแรกซ์ สารฟอกขาว สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง สารกันรา สารฟอร์มาลิน และสารเร่งเนื้อแดง โดยกำหนดว่าผู้ใดละเมิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานผลิตอาหารที่ไม่บริสุทธิ์ ทว่าผลการสุ่มตรวจล่าสุดได้สะท้อนให้เห็นว่า การลักลอบใช้สารต้องห้ามในอาหาร ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย
นันทกา หนูเทพ ผู้อำนวยการสำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า จากการที่กรมอนามัยออกสำรวจตลาดสดเพื่อตรวจประเมินคุณภาพมาตรฐาน สารต้องห้ามใช้ในอาหาร 4 ชนิด คือ สารบอแรกซ์ สารฟอร์มาลิน สารกันรา และสารฟอกขาว ปรากฏว่าการสุ่มตรวจแม้ส่วนใหญ่จะผ่านเกณฑ์การประเมิน แต่ที่น่าตกใจคือมีการตรวจพบสารฟอร์มาลีน ฉีดพ่นและแช่ในผัก เนื้อสัตว์ เพื่อให้ดูใหม่ดูสดมากขึ้น ซึ่งได้สรุปสถานการณ์ในช่วงนี้ออกมาว่า ประชาชนผู้บริโภคอาจต้องเจอปัญหา การนำสารฟอร์มาลีนมาใช้ผิดวัตถุประสงค์
“ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าสมัยก่อนกระทรวงสาธารณสุข มีการรณรงค์เรื่องสารบอแรกซ์ สารฟอกขาว ซึ่งปัจจุบันกลับตรวจพบว่ามีการใช้ลดลง แต่กลับมาตรวจพบการใช้สารฟอร์มาลีนมากขึ้นแทน เพื่อคงความสดใหม่ให้ผักและเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะพวกอาหารทะเล การตรวจพบครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าตกใจ เป็นการกระตุ้นเตือนให้พวกเราทราบสถานการณ์ว่า จริงๆ แล้ว พ่อค้า แม่ค้า เขาอาจจะมองในเชิงธุรกิจมากกว่าความปลอดภัยของผู้บริโภค พอเห็นว่ามีการตรวจในกลุ่มสารชนิดหนึ่งมากก็เลี่ยงไปใช้สารชนิดอื่นแทน เมื่อผู้บริโภคกินสะสมเข้าไปในปริมาณมากๆ ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ”
เธอบอกว่า พิษจากสารฟอร์มาลีนเป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคหลายๆ โรค เนื่องจากในสารฟอร์มาลีน จะมีสารฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งลักษณะของตัวสารชนิดนี้จะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ รูปแบบของสารละลายและรูปแบบของสารระเหย ปกติจะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมและทางการแพทย์ แต่การนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้
“พิษของสารตัวนี้จริงๆ มันมีผลกระทบทุกส่วนของร่างกาย ที่เห็นชัดๆ ก็คือทางด้านระบบทางเดินหายใจ พิษจากสารฟอร์มาดิฮาย สารฟอร์มาลีน มีผลกระทบต่อระบบหายใจ เมื่อสูดดมเข้าไปจะรู้สึกเลยว่าแสบจมูก ไอ ปอดอักเสบ ปอดบวม และก็ในระบบทางเดินอาหารถ้าปนเปื้อนในอาหาร เมื่อเรากินเข้าไปอาการจะรุนแรงหรือไม่อยู่ที่ปริมาณ แต่ถ้าสะสมในร่างกายมากๆ ก็อันตรายถึงขั้นก่อให้เกิดโรคมะเร็ง”
เธอยอมรับว่า ที่ผ่านมากแม้กระทรวงสาธารณสุขจะการออกประกาศ สารต้องห้าม 6 ชนิดในอาหาร แต่จุดอ่อนของเราก็คือเรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่อาจยังไม่เข้มข้นมากเท่าที่ควร เมื่อตรวจเจอสารฟอร์มาลีนและสารต้องห้ามต่างๆ ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปสอบถามแหล่งที่มาที่ไป และแนะนำให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
ขณะที่ พชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า จริงๆ แล้วที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้มีการสุ่มตรวจและเฝ้าระวังสารฟอร์มาลีน โดยการใช้ชุดทดสอบเร็ว(Test Kit) มาเป็น 10 ปี แต่ต้องขอบอกว่าข้อมูลเหล่านี้ถึงหูผู้บริโภคค่อนข้างน้อยมาก แทบจะไม่ถึง 5% ของรายงานที่มีการตรวจพบ
ในขณะที่การตรวจพบในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก เนื่องจากการตรวจพบในอาหารที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังปกติ นั่นจึงหมายความว่าก่อนหน้านี้เราไม่รู้เลยว่าเคยมีการใช้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานหรือไม่ และใช้ในปริมาณเท่าไหร่
“ล่าสุดเมื่อผลการสุ่มตรวจที่ออกมาพบว่ามีการใช้สารฟอร์มาลีน ในอาหารที่ไม่ได้เฝ้าระวังเป็นปกติ ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างน่ากังวล เพราะต่อไปอาจจะลามไปในอาหารอย่างอื่น ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้รัฐจะมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีระบบการจัดการปัญหาที่ต้นทาง การเข้าถึงฟอร์มาลีนยังทำได้ง่ายๆ หรือเปล่า หรือว่าการแพร่หลายจะสามารถตรวจสอบได้ไหมว่า ถูกกระจายไปอยู่ที่ไหนบ้างทั่วประเทศ”
เขาบอกอีกว่า ประเด็นคำถามต่อมาก็คือว่าเมื่อไหร่ที่ผู้บริโภค จะได้ทราบข้อมูลที่เป็นจริงของสถานที่ตรวจเจอ เพราะรัฐไม่เคยบอกว่าจุดไหนที่ตรวจเจอ เมื่อผู้บริโภคไม่ได้รับทราบข้อมูล ผลที่ตามมาก็คือการไม่สามารถใช้กระบวนการทางสังคมในการกดดันได้ แต่อย่างไรก็ตามก็เข้าใจข้อจำกัดทางกฎหมาย เนื่องจากรัฐใช้ชุดทดสอบเร็วในการตรวจหาสารต้องห้ามทั้ง 6 กลุ่ม ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อผู้บริโภคไม่สามารถทำได้ เนื่องจากข้อจำกัดของชุดทดสอบเร็วที่มีความคลาดเคลื่อนได้สูง ไม่สามารถใช้อ้างอิงตามกฎหมายได้
ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่ภาครัฐจะยกระดับการเฝ้าระวัง และดำเนินการเช่นเดียวกับสารเคมีตัวอื่น โดยการใช้ชุดทดสอบเร็วควบคู่กับการส่งตัวอย่างตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและจริงจัง
“การลักลอบใช้สารฟอร์มาลีนในอาหาร ส่วนใหญ่จะเป็นในผู้ประกอบการรายย่อย ทำให้การตรวจจับไม่ใช่เรื่องสนุกและง่ายนัก ฉะนั้นกระบวนการที่เราคิดว่าน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ก็คือการควบคุมต้นทางในการนำเข้าและกระจายไปที่ไหนบ้าง เพื่อที่จะได้ไปตามดูว่าสรุปแล้วถูกส่งไปถูกที่ถูกทาง”
เขาบอกอีกว่า นอกจากนี้กระบวนการที่ให้ชุมชนเข้ามามีอำนาจ มีบทบาทในการดูแลและจัดการควบคุมกันเองก็ถือเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยการฝึกอบรมและผลักดันให้มีแกนนำชาวบ้าน ร่วมกับผู้ประกอบการตลาด ช่วยกันเฝ้าระวังโดยการใช้ชุดทดสอบเร็ว ในตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้นกันเองภายในชุมชน เมื่อตรวจพบว่าพ่อค้าแม่ค้าร้านไหนมีการใช้สารฟอร์มาลีน ก็สอบถามว่ารับสินค้ามาจากไหน เป็นกระบวนการตรวจตอบสอบย้อนกลับ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้
ความสำคัญของการเฝ้าระวังและแก้ปัญหาสารฟอร์มาลิน รวมทั้งสารต้องห้ามชนิดอื่นๆ แม้ในส่วนสำคัญต้องเริ่มต้นจากหน่วยงานรัฐและการบังคับใช้กฎหมาย แต่ในขณะเดียวกันพลังผู้บริโภคซึ่งก็คือประชาชนในท้องถิ่น ก็ถือเป็นกลไกหลักที่จะทำให้ทุกคนได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น







