ปั่นได้...ถ้าใจกล้าพอ

ปั่นได้...ถ้าใจกล้าพอ

ภูยิน คำนวน นักกีฬาคนพิการดีกรีระดับแชมป์ เต็มเปี่ยมด้วยพลังใจเกินร้อย กับการเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งคนปกติและคนพิการออกมาไล่ตามฝัน

เพียงคำว่า 'พ่อ' คำเดียวสร้างแรงบันดาลใจแสนยิ่งใหญ่แก่ชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ถูกตีตราว่าพิการตั้งแต่กำเนิดให้ทำสิ่งที่หลายคนไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นจริงได้

หากเปิดรายชื่อนักกีฬาผู้พิการที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ คงต้องมีชื่อของ ภูยิน คำนวน อยู่ด้วยเป็นแน่ แม้ว่ากีฬาอาเซียนพาราเกมส์ครั้งที่ผ่านมาที่เมียนมาร์ ภูยินจะไม่ได้ร่วมทัพล่าเหรียญรางวัลในมหกรรมกีฬาแห่งชาวอาเซียนครั้งนี้ ทว่าทุกๆ วัน วงล้อของเขายังคงหมุนวนอยู่ไม่ที่สนามซ้อมก็บนถนนหนทาง ด้วยความมุ่งมั่นที่ว่าวันหนึ่งเขาจะไปคว้าแชมป์โลกในฐานะคนไทยคนหนึ่งให้ได้

เมื่อหลายปีก่อน ภูยินได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตนักกีฬาประเภทว่ายน้ำนั่นคือเขาได้แชมป์โลก แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางสายกีฬายังไม่สิ้นสุด ทุกวันนี้เขาจึงยังหมั่นฝึกซ้อม เพียงแต่เป็นกีฬาคนละประเภทกัน นั่นคือวีลแชร์เรซซิ่งที่อีกไม่นานเราอาจได้เห็นเขาบนโพเดียมรับเหรียญทองในกีฬาพาราลิมปิกสักวันหนึ่ง

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพในความคิดของหลายต่อหลายคนคงต้องนึกไปแล้วว่าวัยเด็กของภูยินซึ่งเป็นโปลิโอตั้งแต่กำเนิด จะต้องประสบกับอะไรบ้าง คำพูดเสียดสี ท่าทางล้อเลียน หรือแม้แต่แววตาดูแคลน หากคุณกำลังคิดแบบนั้นอยู่ต้องบอกเลยว่าคิดผิด เพราะถือว่าภูยินโชคดีที่เกิดและเติบโตในสังคมที่ดี เขาจึงไม่เคยต้องท้อแท้ต่อคำพูดคนเลยแม้แต่น้อย

"ตอนเด็กๆ ไม่มีใครล้อนะครับ ผมโชคดีที่ได้สังคมดี และครอบครัวดี จึงมีภูมิต้านทานตั้งแต่เด็ก พอโตมาผมก็อยู่แต่สังคมคนพิการตลอด เรียนก็เรียนกับคนพิการ ฝึกงานก็ฝึกงานกับคนพิการ จนมาทำงานที่ศรีสังวาลย์ (โรงเรียนศรีสังวาลย์) นี่แหละครับได้ออกสังคมเอง แรกๆ ก็ไม่กล้า อายเหมือนกันที่คนนั้นมองเรา ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขามองเพื่ออะไร แต่พอได้เห็นสายตา ได้พูดคุย ก็ได้รู้ว่าเขามองชื่นชมในสิ่งที่เรากล้าที่จะออกมาเผชิญโลกภายนอก ก็เลยไม่มีคิดอายแล้ว มีแต่ความภูมิใจที่เขาเห็นเราออกมาได้"

ซึ่งภูยินในวัย 38 ปี ยังบอกด้วยว่าอยากเห็นสังคมภายนอกมองคนพิการอย่างนี้ และอยากให้คนพิการที่นอนอยู่ที่บ้านได้ออกมา เมื่อเขาออกมาได้ขนาดนี้แล้วทำไมคนอื่นจึงไม่ออกมา

และอย่างที่เขาบอกว่าเขาได้รับโอกาสทำงานที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ ในฐานะโปรแกรมเมอร์และเป็นครูผู้สอน ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาก็จบการศึกษาจากโรงเรียนเดียวกันนี้ด้วย เส้นทางนักกีฬาก็เริ่มต้นที่นี่นี่เอง...

"ผมเล่นกีฬาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ ตั้งแต่อายุสิบต้นๆ เห็นรุ่นพี่เล่นกีฬา เมื่อก่อนผมเรียนที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ มีกีฬาให้เล่น เป็นกีฬาคนพิการแห่งชาติ เห็นเขาเล่นก็คิดว่าน่าสนุกดีก็ลองเล่นด้วย ก็เลยเป็นนักกีฬาของโรงเรียนมาตลอดครับ"

หลังจากนั้นเขาก็ไต่เต้าจากนักกีฬาระดับโรงเรียนไปจนถึงติดทีมชาติไทยได้ในกีฬาประเภทว่ายน้ำ โดยได้แข่งขันเฟสปิกเกมส์ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อหลายปีก่อน จนกระทั่งไปถึงจุดสูงสุดจึงหันมาเล่นวีลแชร์เรซซิ่งเมื่อประมาณสามสี่ปีมานี้

แต่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในวงการจักรยานทางไกลได้มีทริปประเพณี กรุงเทพฯ-หัวหิน ระยะทาง 190 กิโลเมตร ซึ่งนับเป็นทริปที่ท้าทายและได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากบรรดานักปั่นจักรยานทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น เพราะระยะทางไกลขนาดนี้ถือว่าโหดไม่น้อยเลย

ทว่า ในขบวนจักรยานประเภทต่างๆ มีภูยินปรากฏอยู่ในขบวนนั้นด้วย โดยที่เขาเป็นนักปั่นหนึ่งเดียวที่ใช้จักรยานแฮนด์ไบค์ (จักรยานที่ใช้มือปั่น) เพื่อพิชิตระยะทางเกือบสองร้อยกิโลเมตรด้วยวัตถุประสงค์สำคัญดังที่เราได้พูดคุยกับเขา...

ได้ร่วมทริปกรุงเทพ-หัวหิน?

"ใช่ครับ ปกติผมปั่นไปกับทริปจักรยานต่างๆ ตอนแรกไปซ้อมกับจักรยาน แล้วพอดีที่ซ้อมมันหายาก ก็เลยไปออกทริปดีกว่า เพราะได้ซ้อมปั่นไกลๆ ด้วย ได้ปั่นนาน ได้ปั่นทน จะได้มีโอกาสซ้อมปั่น ปั่นจากกรุงเทพฯไปจนถึงหัวหินครับ แล้วแต่จักรยานจะไปครับ"

จักรยานที่ใช้?

"เป็นแฮนด์ไบค์ ผมทำขึ้นมาเองครับ ปกติมีขายแต่แพงมาก ราคาประมาณสองแสนถึงสามแสนบาท ก็เลยทำเองดีกว่าในงบประมาณสามหมื่นหน่อยๆ โดยผมออกแบบเอง ตัดเอง ใช้อุปกรณ์จักรยานมาตัด แล้วให้ข้างๆ บ้านช่วยเชื่อมให้นิดหน่อยครับ"

เริ่มซ้อมแฮนด์ไบค์?

"เริ่มซ้อมปีนี้เองครับ เพิ่งทำเสร็จแล้วก็ไปเลย ตอนที่ไปทริปหัวหินผมจับรถได้สามวันครับ ปกติซ้อมวีลแชร์เรซซิ่งที่โคราชเพื่อจะแข่งเดือนกุมภาพันธ์ พอมีทริปหัวหินก็เลยซ้อมสามวันแล้วปั่นเลย"

ทำไมถึงกล้า?

"คำว่า 'ปั่นเพื่อถวายในหลวง' นั่นแหละครับ ทำให้ต้องไป สั้นๆ แค่นั้นเอง ความเหนื่อยมันก็ไม่มีแล้วครับ"

ตอนปั่นเป็นอย่างไร?

"รู้สึกฮึกเหิมครับ สนุก มัน ที่ซ้อมมารู้สึกได้ใช้เต็มที่ พอเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงข้างทางแล้วความเหนื่อยมันหายไป เรามาเพื่อคำนี้แล้วมาเห็นพระองค์ท่านรับเราข้างทาง รู้สึกว่าเราขึ้นรถไม่ได้ครับ ต่อให้หมดแรงอย่างไรก็ต้องไปครับ"

มีหมดแรงไหม?

"มีครับ ช่วง 50 กิโลเมตรสุดท้าย ตะคริวเริ่มมา เราไม่เคยซ้อมไกลขนาดนี้ เต็มที่ปั่นก็ 50 กิโลเมตร มีโวยวายด้วยนะครับเหนื่อยๆ ไม่ไหวแล้ว ตะโกนออกมาเพราะยางมันหนืดมากครับ ทางบางช่วงเป็นดินทราย แล้วแขนก็ใกล้หัวใจมากเลยเหนื่อยกว่าปกติ"

เคยไปไกลเท่านั้นไหม?

"คันนี้ (วีลแชร์) เต็มที่ 90 กิโลเมตรครับ ทริปหัวหินจึงเป็นทริปไกลสุดในชีวิตแล้วครับ"

โครงการต่อไป?

"มีเดือนกุมภาพันธ์ปั่นขึ้นดอยอินทนนท์ ไปทำลายสถิติตัวเอง ครั้งแรกที่ไปผมไปเพื่อให้กำลังใจแก่คนอื่นครับ เราอยากให้คนอื่นเห็นว่าเราก็มาได้เหมือนกัน"

ทริปนี้เป็นคนเดียวที่ใช้แฮนด์ไบค์?

"ผมว่าน่าจะเป็นคนเดียวในประเทศไทยนะครับที่ออกมาแบบนี้ ตั้งแต่มีจักรยานมายังไม่เคยเห็นใครปั่นแฮนด์ไบค์ นี่คือปรากฏการณ์ตั้งแต่อินทนนท์ครั้งแรกแล้วครับ ไปเพื่อให้เขาเห็นว่าผมเป็นอย่างนี้ยังไม่ท้อเลย"

ทำไมต้องเป็นแรงบันดาลใจ?

"สังคมสมัยนี้มองไม่เห็นน้ำใจแล้วครับ ผมก็เลยให้ก่อนดีกว่า ผมให้สังคมร้อยเปอร์เซ็นต์ดีกว่า คนปกติกับคนพิการ ผมจะให้กำลังใจแก่คนทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่ให้กำลังใจแค่คนพิการคนเดียว ผมให้ก่อนแล้วผมถึงจะได้ ผมอยากได้โอกาส ผมเลยให้โอกาสแก่คนอื่นก่อน"

ทุกวันนี้ได้โอกาส?

"เยอะมากครับ ผมให้ในกลุ่มจักรยานก็ได้จากกลุ่มจักรยาน ผมให้โอกาสแก่คนวิ่งผมก็ได้จากกลุ่มวิ่ง เพราะผมก็ไปปั่นกับกลุ่มวิ่งด้วย เมื่อก่อนก็ไปปั่นกรุงเทพมาราธอน พัทยามาราธอน นั่นวีลแชร์ไปปั่นเยอะ แต่แฮนด์ไบค์มีผมคนเดียวครับ"

แฮนด์ไบค์กับวีลแชร์ต่างกัน?

"วีลแชร์ไม่มีเกียร์เลยใช้มือล้วนๆ แต่แฮนด์ไบค์มีเหมือนจักรยานเลย ครบเลย เพียงแต่สามล้อเท่านั้น และใช้มือปั่น เกียร์ เบรค อยู่ที่มือหมดเลย ถ้าถามว่าอันไหนเหนื่อยกว่า วีลแชร์เหนื่อยกว่าครับ เคยปั่นวีลแชร์ได้มากที่สุด 90 กิโลเมตร แต่นั่นมีจักรยานคอยช่วยด้วย บางทีก็เกาะจักรยานบ้างช่วงที่เราไม่ไหว

ผมมีแผนว่าจะปั่นทั้งวีลแชร์และแฮนด์ไบค์รอบประเทศสลับกันใช้ เพื่อเป็นการซ้อมด้วยครับ ผมตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อกลับมาให้ถึงวันที่ห้าธันวาคมปีที่แล้ว แต่บังเอิญมีเหตุการณ์เยอะแยะก็เลยไม่ทัน ผมคิดไว้ว่าใช้เวลาสามเดือนสำหรับทริปนั้น ก็เลยล้มเลิกไป แต่ตั้งเป้าไว้ว่าปีสองปีนี้จะทำให้ได้ ช่วงนี้ขอลาออกจากงานแล้วมาซ้อมให้เต็มที่ก่อน"

หมายความว่ากระทบเรื่องงาน?

"จริงๆ แล้วกระทบครับ ถ้าคนทำงานจะกระทบ เงินเดือนก็จะไม่ได้ บางทีก็ลายาก บางที่ทำงานก็ให้เลือกเลยระหว่างกีฬากับที่ทำงาน นั่นคือปัญหา ทุกวันนี้ผมก็ลาออกจากงานแล้วเพื่อที่จะมาตามฝัน"

ฝันคือ?

"อยากได้เหรียญพาราลิมปิกจากวีลแชร์ เพราะว่ายน้ำเคยเป็นแชมป์โลกแล้ว ก็เลยอยากได้เหรียญพาราลิมปิกจากวีลแชร์บ้าง ก็เลยตัดสินใจลาออกดีกว่า"

ที่บอกว่ามีโครงการปั่นรอบประเทศ?

"ไปทุกจังหวัดครับ ไปพบปะสังสันท์กลุ่มจักรยานของจังหวัดนั้นๆ ชมรมต่างๆ ไปปลุกคนพิการแต่ละจังหวัดให้ออกมา เพื่อถวายในหลวงครับ"

ทำไมถึงรักในหลวงมากขนาดนี้?

"พระองค์ท่านเป็นต้นแบบของผมเลย ไม่ว่าจะเรื่องกีฬา เรื่องการงาน เรื่องช่วยคนไทย ไม่มีด้านไหนที่พระองค์ไม่ช่วยเลยครับ ผมว่าไม่มีคำที่มาเปรียบได้ ผมทำแค่นี้ยังน้อยไปครับ ก็เลยอยากทำให้มันสุดๆ อะไรที่ทำแล้วสุดๆ และทำให้ทุกคนเห็นว่ามันดีครับ"

เป้าหมายจริงๆที่ทำ?

"เป้าหมายจริงๆ อยากได้เหรียญพาราลิมปิก ก็เลยหาโอกาส เวลาไหนก็ได้ที่มันได้ซ้อม แต่ถ้าผมอยากได้เหรียญพาราลิมปิก ก็ต้องซ้อมให้มากกว่าคนอื่น ก็เลยต้องออกปั่น ทุกคนซ้อมแต่ในสนามแต่ผมได้ออกทริปไปทุกที่"

เรากล้ากว่าคนอื่น?

"โอกาสมากกว่าครับ โอกาสที่เราขวนขวายมากกว่า เรากล้าที่จะไปหาโอกาสกับจักรยาน กับนักวิ่งบ้าง ทุกอย่างที่เขาแนะนำมีประโยชน์แก่เรา"

ซ้อมทุกเช้า?

"ครับ ซ้อมที่ถนนบ้าง ซ้อมในสนามบ้าง แต่ซ้อมวีลแชร์นะไม่ใช่แฮนด์ไบค์ แฮนด์ไบค์นี่ออกเอง"

เป้าหมายหลังพาราลิมปิก?

"อยากปั่นแฮนด์ไบค์ปลุกใจคนทั่วประเทศครับ ถ้ามีกำลังก็อยากไปถึงต่างประเทศ ถ้าเราไปได้ก็อยากไปให้กำลังใจคนประเทศอื่นครับ เพราะในประเทศเรายังทำได้เลย ทั่วโลกเราไม่น่าจะทำไม่ได้"

คำว่าถ้าเราไปได้?

"มีขีดจำกัดของความพิการอยู่ด้วย แต่ถ้าเราไปได้ผมก็ไปครับ แต่ถ้าไปเจอบันไดหรือทางที่แย่ๆ อุปสรรคมันก็แค่ทางเองครับ เราไปได้ไหม ถ้าไปไม่ได้จะหาทางไหนที่ไปได้บ้าง ผมว่าจริงๆ ก็ได้หมดครับ เพราะปกติผมก็ไปได้ทั่วประเทศอยู่แล้ว แข่งกีฬาที่ไหนผมก็ปั่นรถเข็นไป ขึ้นลงบันไดเอง"

เข้มแข็งแบบนี้น่าจะมีคติใจ?

"ผมไม่เคยยอมแพ้อะไรที่ผมยังไม่ได้สู้ครับ แพ้ชนะอีกเรื่องหนึ่ง"

ทุกวันนี้ชนะหรือยัง?

"ก็ไม่มีอะไรที่แพ้ครับ"

แนวโน้มคนปั่นแฮนด์ไบค์?

"ยังไม่มีใครปั่นแฮนด์ไบค์ครับ เพราะอุปกรณ์แพง เขายังไม่รู้ว่าเราทำได้ จริงๆ ผมรับทำแฮนด์ไบค์ด้วย ก็มีคุยกับเพื่อนๆว่าใครอยากสั่งก็รับทำ จริงๆ คนปกติก็ปั่นแฮนด์ไบค์ได้ครับ เพราะต่างประเทศพวกนักแข่งรถก็จะใช้ออกกำลังแขน"

จากการแข่งขันแต่ละรายการ ได้รางวัลอะไรบ้าง?

"ได้เหรียญรางวัลบ้าง ได้เงินรางวัลบ้าง ไม่ได้บ้างก็มีครับ เป็นปกติของกีฬา มีแพ้มีชนะ ส่วนมากจะได้ครับ"

แต่ก็มีนักกีฬาไม่ได้รับความสนใจ?

"เท่าที่เคยสัมผัสมา เคยแข่งได้เหรียญมา กลับมาจะไม่ค่อยได้เงินรางวัล เพราะว่ากฎเกณฑ์การแข่งขันของคนพิการเยอะมาก ไม่ทราบว่าเขาเอากฎเกณฑ์อะไรมาวัดหนักหนา ประเทศอื่นเขาไม่มี บางทีเราแข่งคนเดียว คนพิการเอเชีย ระดับความพิการเราน้อย แต่เราก็ซ้อมเต็มที่เหมือนคนปกติ แข่งเต็มที่ ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศในระดับเดียวกัน อย่างเช่นซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ โอลิมปิก ศักดิ์ศรีเดียวกัน แต่กลับมาเราไม่ได้เงินรางวัล เพราะเราแข่งคนเดียว ไม่ได้ทำลายสถิติที่ครั้งที่แล้วเราทำไว้ ก็เลยกลับมามือเปล่า นักกีฬาบางคนก็น้อยใจ เราไม่ใช่นักกีฬาเบี้ยเลี้ยง เราทำชื่อเสียงให้เหมือนกัน แต่กลับมาเราได้แค่เบี้ยเลี้ยงไปเดือนๆ เท่านั้นเอง"

น้อยใจไหม?

"ถ้ามีกฎเกณฑ์ก็ไม่น้อยใจครับ แต่ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์แล้วน้อยใจครับ เหมือนเขาจะทำด้วยความรู้สึก ไม่ทราบว่าจะตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาทำไม"

จริงๆ นักกีฬาผู้พิการควรได้รับอะไร?

"ควรจะได้รับไม่จำเป็นต้องมากกว่าก็ได้ เพราะทุกวันนี้ค่าเหรียญก็น้อยกว่าสิบเท่าอยู่แล้ว หรืออาจจะครึ่งหนึ่งอยู่แล้ว แล้วมามีกฎเกณฑ์อย่างนี้อีก ผมว่าไม่น่ามีกฎเกณฑ์ก็พอแล้ว แค่เงินรางวัลเราก็ได้น้อยกว่าอยู่แล้ว ซ้อมเราก็ซ้อมหนักกว่า ความพยายามเรามีมากกว่า แต่ให้เราครึ่งเดียว เราก็น้อยใจพอแล้ว แต่นี่มีกฎเกณฑ์อีก ไม่น่ามีหรอกครับ"

ซ้อมหนักแค่ไหน?

"ปกติที่ซ้อมกันตั้งแต่หกโมงเช้าลงสนาม กว่าจะเลิกก็เก้าโมงแล้ว อยู่กับสนามอยู่นั่นแหละครับ ก่อนที่เคยว่ายน้ำแค่สองชั่วโมงอยู่ในสระ ครึ่งชั่วโมงอยู่บกบน เหยียดยืด แค่นั้นก็หนักแล้ว แล้วช่วงเย็นอีก"

สิ่งที่อยากบอกแก่คนที่ยังนอนอยู่เฉยๆ ยังท้อ?

"อยากให้กล้าตัดสินใจ อยากให้ออกมาครับ มาเผชิญโลกภายนอกดีกว่า โอกาสไม่ได้ไปหาคุณที่ที่นอนหรือที่บ้าน คุณต้องไปหาโอกาส แล้วสังคมเปิดโอกาสให้คุณเสมอ เพียงแค่คุณกล้าลุกขึ้นมา แค่กล้านั่งรถเข็นปั่นออกจากบ้านคุณก็เจอโอกาสแล้ว

ที่ผมพูดถึงนี่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนพิการหรอกครับ บางคนขาดีแต่ขอทานเยอะแยะไป ผมยังเคยให้เงินคนปกติเลย ผมว่าทุกคนน่าจะหันมาเดินหาโอกาสมากกว่า"

แล้วคุณละ...คิดได้หรือยังว่าจะนอนอยู่เฉยๆ หรือเดินไปหาโอกาสเพื่อไปสู่ฝันในที่สุด