พลังจิตสร้างสันติสุข

พลังจิตสร้างสันติสุข

หลวงพ่อวิริยังค์ ต้นธารสายพระป่า บูรพาจารย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ยังคงมีลูกศิษย์ก้นกุฏิใกล้ชิดยังมีชีวิตอยู่ให้เราได้เรียนรู้ภูมิธรรม

วันคล้ายวันเกิดหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ครบรอบ 144 ปี ต้นธารสายพระป่า บูรพาจารย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ยังคงมีลูกศิษย์ก้นกุฏิใกล้ชิดยังมีชีวิตอยู่ให้เราได้เรียนรู้ภูมิธรรมจากพระพุทธองค์อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเพื่อนำให้โลกสงบเย็น หนึ่งในนั้นคือ หลวงพ่อวิริยังค์

"ทำไมคนที่เขาลงทุนสร้างคฤหาสน์ ลงทุนสร้างตึก ลงทุนสร้างเครื่องบิน ลงทุนสร้างจรวด ลงทุนสร้างโรงพยาบาล การเรียนการศึกษา ไม่รู้ว่ากี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านๆ นับไม่ถ้วน ที่เขาพยายามพัฒนาขึ้น แต่ทำไมเขาลืมพัฒนาในเรื่องจิตใจ หรือ จิตนิยม ให้มากขึ้น เขาไม่รู้หรือว่า เมื่อทำพลังจิตให้พอเพียง คนเราจะเปลี่ยนพฤติกรรม คนโหดร้ายก็จะกลายเป็นคนมีใจเมตตา"

พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล เถาบุญญนนทวิหาร กรุงเทพฯ ผู้ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ ทั้งในประเทศไทย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เมตตาให้ 'กายใจ' สัมภาษณ์ในวันฉลองอายุวัฒนมงคลของท่านเมื่อ 7 มกราคม 2557 ครบรอบ 94 ปี ที่ผ่านมา เกี่ยวกับอานิสงส์ของการฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องว่าผลนั้น ยิ่งกว่าพลังปรมาณูเสียอีก

เพียงแต่ว่า พลังของสัมมาสมาธินี้ต่างจากปรมาณูตรงที่มีปัญญากำกับ ซึ่งจะก่อให้เกิดคุณธรรมสามประการ คือ ความรับผิดชอบ มีเหตุผล และความเมตตา ตามมา และนี่เองที่มนุษย์ในยุคดิจิทัลอาจคาดไม่ถึงว่าเหนือโทรศัพท์ ยังมีโทรจิต ที่ยิ่งกว่านวัตกรรมใหม่ชิ้นใดในโลก ซึ่งหากเราฝึกกันเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นๆ ก็ยิ่งสามารถส่งพลังใจให้ผู้คนบนโลกเกิดสันติสุขมวลรวมได้อย่างแท้จริง

และในวันที่ 20 มกราคม 2557 เป็นวันคล้ายวันเกิดหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ครบรอบ 144 ปี ต้นธารสายพระป่า บูรพาจารย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ยังคงมีลูกศิษย์ก้นกุฏิใกล้ชิดยังมีชีวิตอยู่ให้เราได้เรียนรู้ภูมิธรรมจากพระพุทธองค์อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเพื่อนำให้โลกสงบเย็น หนึ่งในนั้นคือหลวงพ่อวิริยังค์ นี่เอง

สิ่งที่หลวงปู่มั่นได้สอนหลวงพ่อคืออะไร

วันนี้เป็นวันเกิดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้เป็นปรมาจารย์ทำสมาธิฝ่ายกรรมฐาน ซึ่งเวลานี้ ผู้ที่ปฏิบัติตาม ที่ท่านได้อธิบายไว้แล้วบังเกิดผลจนกระทั่งแผ่กว้างไปทั่วประเทศไทย ก็คือเรื่องการฝึกจิตให้มีพลัง หรือที่เรียกว่า การทำสมาธิ โดยหลวงพ่อนำมาประยุกต์ให้สมสมัย วางแนวทางแบบไฮเทค คือให้เป็นแบบวิวัฒนาการตามขบวนการแห่งยุคศิวิไลซ์ เพื่อให้เกิดความง่ายและได้ประโยชน์สูงสุด หมายถึงการแก้ไขให้มีประสิทธิภาพ

เช่นสมัยก่อนใช้ม้า -วัว-ควาย- ลากเกวียน ช้าก็ช้า ไปไม่ได้ไกล บรรทุกได้ไม่มาก ลำบากอย่างยิ่ง เสียเวลานับ 10-100 ปี กว่าจะเท่ากับสมัยปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ใช้รถยนต์-รถไฟ-เครื่องบิน มีประสิทธิภาพสูงยิ่ง บรรทุกได้มากและรวดเร็ว ทั้งดีกว่าเร็วกว่านับหมื่นนับแสนเท่า จึงคิดพัฒนาการทำสมาธิให้เป็นไปตามโลกาภิวัตน์ ด้วยหลักสูตรที่เขียนขึ้นมา เป็นสมาธิไฮเทค โดยย่นเวลาจาก 50 ปีให้เหลือเพียงครึ่งปี และจากครึ่งปีให้เหลือ 21 วัน จาก 21 วันให้เหลือเพียงวันเดียว แต่ต้องฝึกทุกวัน ๆ ละสามเวลา เช้ากลางวัน เย็น ครั้งละ 5 นาที แล้วจะปรากฎผลเมื่อฝึกสมาธิจนเพียงพอไประดับหนึ่ง

ทำไมหลวงพ่อจึงสนใจสอนสมาธิให้กับฆราวาส

ก็เพราะว่าหลวงปู่มั่น ท่านแสดงสูงสุดคือ วิปัสสนาและนิพพาน แต่อันที่จริงแล้ว ท่านก็แสดงให้แก่ชาวบ้านธรรมดาฟังว่าเราจะอยู่ด้วยกัน อย่างอยู่เย็นเป็นสุขจะทำอย่างไร ท่านแสดงให้เห็นชัดเจนว่า การที่คนจะอยู่เย็นเป็นสุขได้นั้น ต้องมีพลังจิต พลังจิตนี้เป็นตัวผลักดันที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

พลังจิตนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

เราลองคิดดูว่า คนที่เขาพากันไปเชียร์นักกีฬาต่างๆ เมื่อมีคนเชียร์มาก เขาเล่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่ก็ชนะเขาได้ เพราะพลังใจเกิดขึ้น การที่เราจะอยู่ด้วยกันด้วยความอยู่เย็นเป็นสุข มันต้องเกิดจากพลังใจ

พลังใจนั้นคือการทำสมาธิให้เกิดขึ้น มีหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พลังใจนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตามปกติแล้ว มนุษย์เราจะมีดีอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งเรียกว่า ความสามารถ อย่างที่สองเรียกว่า ความเป็นเลิศ สัตว์ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก มันเคยเป็นมาอย่างไร พันปี หมื่นปี มันก็แก้ผ้าของมันอยู่อย่างนั้น ไม่เจริญ เพราะมันขาดดีสองอย่างนี้ แต่มนุษย์มีดีอยู่สองอย่างนี้ ที่ทำให้มนุษย์เราสามารถพัฒนาจากเกวียนมาเป็นเรือบินได้ จากโทรศัพท์เดินหาพูดกัน แต่เวลานี้ใช้คอมพิวเตอร์ สามารถที่จะติดต่อกันได้ทั่วโลก ตลอดจนกระทั่งคฤหาสน์ที่สร้างกันใหญ่โตก็เกิดจากความสามารถและความเป็นเลิศของมนุษย์ แต่นั่นคือโลกาภิวัตน์

เพราะมนุษย์ลืมไปว่า สำหรับจิตนิยม หมายถึงทางด้านจิตใจ ไม่ใช่โลกาภิวัตน์ เราไม่ได้มีความสนใจที่จะทำมันขึ้น เรามีสมาธิธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ว่าสมาธิธรรมชาติให้พลังจิตเพียงพอแค่เราเป็นมนุษย์ แต่ถ้าหากว่า เราได้ทำสมาธิ เกินกว่าธรรมชาติ พัฒนาจากธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพขึ้น พลังจิตนี้จะทำให้มนุษย์อยู่เย็นเป็นสุขได้

ทำไมพลังจิตทำให้มนุษย์อยู่เย็นเป็นสุข

ตามปกติคนเรา ไม่ว่าจะอยู่กันเพียงแค่สองคนในครอบครัวก็ขัดแย้งกันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสังคม ไม่ต้องพูดถึงประเทศ ไม่ต้องพูดถึงว่าโลก ประเทศก็มีคนหลายสิบล้าน โลกก็มีหลายพันล้าน ความเห็นก็ขัดแย้งกัน ความขัดแย้งก็ต้องเกิดขึ้น ความขัดแย้งไม่ต้องมาก นิดหน่อยเท่านั้นก็ทำให้เกิดสงคราม เกิดความหายนะเกิดขึ้นแก่ครอบครัว เกิดขึ้นแก่สังคม เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติ เกิดขึ้นแก่โลก ความขัดแย้งไม่ต้องมาก

เหตุใดความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยจึงก่อเกิดสงคราม

เพราะไม่มีพลังจิตที่จะควบคุมจิตใจของตนได้ ทีนี้ก็มีนักปราชญ์ที่ท่านมีความเฉลียวฉลาด ท่านสร้างหลักสูตร สร้างวิถีทางให้คนเราสามารถทำสมาธิได้สบายๆ โดยไม่ต้องมีความกังวลว่า คนมาทำสมาธิต้องละการละงาน ต้องแก่ก่อนจึงมาเข้าวัดทำสมาธิ ทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดเป็นเวลานานแล้ว แต่จริงๆ สมาธิสมควรแก่คนทุกชั้น แม้แต่เด็ก ที่จะโตไปเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ก็จำเป็นที่ต้องมีสมาธิที่สร้างขึ้นมาให้เป็นระบบ แล้วก็สามารถสะสมพลังจิตขึ้นมาได้

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเกิดสนใจในการทำสมาธิที่มากขึ้น สมาธิก็จะทำให้เกิดพลังจิต พลังจิตทำให้เกิดสติ สติก็ทำให้เกิดปัญญา ถ้าหากว่าเรามองดูเผินๆ คนที่เขาจะต่อสู้กัน คนไหนขาดสมาธิ คนนั้นจะต้องแพ้ เพราะสมาธิหย่อน สติก็ต้องหย่อน เมื่อสติหย่อน ปัญญาก็หย่อน สู้เขาไม่ได้

คนมีสมาธิ สติมันก็มา พอสติมาปัญญาก็เกิด แล้วมันก็รู้วิธีหลบหนีทีไล่ รู้วิธีแก้ไข เพราะฉะนั้น นักปราชญ์ที่ฉลาด ท่านจึงได้คิดวิธีการทำสมาธิที่ดีให้กับมนุษยชาติ เพื่อต้องการให้โลกนี้เกิดความสงบขึ้นมา เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อทำสมาธิให้เจริญเหมือนกับที่มนุษย์มีความดีอยู่สองอย่าง ที่ว่า มีความสามารถและความเป็นเลิศให้มาทำสองอย่างนี้ให้เกิดประสิทธิภาพ

เพราะเมื่อทำสมาธิแล้วจิตสงบ จิตสงบก็ผลิตพลังจิต พลังจิตก็นอนเนื่องในจิต มันนอนเนื่องในจิตอยู่แล้วมันก็สะสมเรื่อยไป ก็เรียกว่ามีความแกร่ง เมื่อมีความแกร่งขึ้นมาแล้ว ความขัดแย้งใหญ่โตก็สามารถลดระดับลงไป ครอบครัวก็ไม่แตกแยก สังคมก็ไม่แตกแยก เพราะลดระดับความขัดแย้งลงได้ ประเทศก็ไม่แตกแยก โลกก็ไม่แตกแยก มนุษย์ก็อยู่ด้วยความอยู่เย็นเป็นสุข

ทำไมคนที่เขาลงทุนสร้างคฤหาสน์ ลงทุนสร้างตึก ลงทุนสร้างเครื่องบิน ลงทุนสร้างจรวด ลงทุนสร้างโรงพยาบาล การเรียนการศึกษา ไม่รู้ว่ากี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านๆ นับไม่ถ้วน ที่เขาพยายามพัฒนาขึ้น แต่ทำไมเขาลืมพัฒนาในเรื่องจิตใจ หรือ จิตนิยม ให้มากขึ้น หากพัฒนาเรื่องจิตนิยม ทุกคนก็ช่วยกันสอนสมาธิให้เด็ก ให้ผู้ใหญ่ สอนสมาธิให้สังคม เมื่อคนในสังคมต่างมีพลังจิต ก็ควบคุมจิตใจได้

ผลจากการควบคุมพลังจิตได้เป็นอย่างไร

เมื่อควบคุมพลังจิตได้จะเกิดธรรมะ 3 ประการติดตามมาด้วย ธรรมะข้อที่ 1 คือ ความรับผิดชอบสูง 2 มีเหตุผล และ 3 ความเมตตา สามอย่างนี้จะเกิดขึ้นตามพลังจิต ยิ่งพลังจิตมากเท่าไหร่ ธรรมะสามประการนี้ก็จะยิ่งมีมากขึ้น

คนเรามีเหตุผลเรื่องราวก็ไม่เกิด คนเรามีความรับผิดชอบสูงเรื่องราวก็ไม่เกิด คนเรามีเมตตาอภัยต่อกันแล้วเรื่องราวก็ไม่เกิด ทั้งหมดนี้เกิดจากพลังจิต เมื่ออาศัยพลังจิตนี้ เรารู้จักแล้วก็ช่วยกัน เอาเงินมาทุ่มเท เหมือนเราสร้างเครื่องบิน สร้างจรวด สร้างคฤหาสน์ สร้างอาหารรับประทานสารพัด ถ้าเรามาทุ่มเทสร้างสมาธิให้แก่ประชาชน คนมีเงินมีข้าวมีของพอที่จะช่วยสร้างช่วยขยายงานของการทำสมาธิให้กว้างขวาง

ควรเริ่มฝึกสมาธิในวัยไหน

เด็กก็เริ่มฝึกสมาธิได้แล้ว ผู้ใหญ่ก็ทำสมาธิได้ เด็กต้องเติบโตขึ้นไปในวันข้างหน้าก็จะมีคุณธรรม 3 ประการนี้เกิดขึ้นด้วย แล้วความสามารถกับความเป็นเลิศก็ถูกพัฒนาขึ้นมาจากการทำสมาธิ เมื่อเป็นเช่นนั้น คนก็อยู่เย็นเป็นสุข คำว่าอยู่เย็นเป็นสุขก็คือ มันก็มีขัดแย้ง แต่มันไม่ถึงกับว่าแตกร้าว

แต่ถ้าหากว่าเราไม่มีพลังจิต มันก็ขัดแย้งและเกิดการแตกร้าว เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือทำตามคำของนักปราชญ์ที่ท่านมีความฉลาด ที่ท่านมีความเข้าใจในการที่จะแนะนำ ให้เข้าใจว่า ทำอย่างไร ทำสมาธิแล้วจึงจะสบาย ทำได้ทุกคน แล้วทุกคนก็ต่างเก็บพลังจิตไว้ เพราะพลังจิตไม่เป็นของสูญเสีย ทำน้อย ทำเท่าไหร่ๆ ก็ให้นึกพุทโธ พุทโธ

ก่อนที่จะนึกพุทโธ มันมีอารมณ์ตั้งร้อยแปด พอนึกพุทโธขึ้นแล้ว อารมณ์เหลืออันเดียว เมื่อเหลืออารมณ์อันเดียวจิตก็เป็นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นหนึ่ง จิตก็เป็นสมาธิ เมื่อจิตมีสมาธิก็มีพลังจิต ก็เท่านั้น แล้วพลังจิตก็เก็บไว้เป็นของเราจากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้านยูนิตที่มันเกิดขึ้นในตัวคน มันก็จะทำให้เกิดความสุขแก่ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และสร้างความสุขให้แก่โลก ความสุขต่างๆ เหล่านี้ที่เราปรารถนามันก็จะเป็นผล

ในเมื่อเราเดินมาในทางที่ถูก ก็เหมือนกับการรับประทานอาหาร ถ้าหากเราเอาอาหารใส่ทางตา ใส่ทางหู มันไม่สำเร็จผลประโยชน์ ถ้าเอาใส่ทางปากก็สำเร็จผลประโยชน์ พอเข้าไปแล้วก็กลายเป็นวิตามิน โปรตีน ทำให้ร่างกายของเรามีชีวิต เหมือนกันพลังจิต

เมื่อทำขึ้นไปแล้วก็กลายเป็นเครื่องเตือน ซึ่งเรียกว่า สติ เมื่อเรามีสติเป็นเครื่องเตือนแล้ว เราก็ไม่ไปทำในสิ่งที่ไร้เหตุผล หรือว่าไม่รับผิดชอบ หรือว่า ไม่มีเมตตา เมื่อทำพลังจิตให้พอเพียงแล้ว คนเราจะเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะสมาธิเปลี่ยนพฤติกรรมคนได้ คนโหดร้ายกลายเป็นคนมีใจเมตตา

ธรรมะที่ทำให้มีสติ สมาธิต่อเนื่องในชีวิตประจำวันใช่ไหม

ก็ในเมื่อเรามีพลังจิต มันก็เกิดสติ เมื่อเกิดสติก็เกิดปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิ อ้างเหตุผลเท่าไหร่ๆ มันไม่เชื่อ แต่พอมีพลังจิตเกิดขึ้นแล้วมันจะเตือนตัวเองได้ เหมือนคนเรียนหนังสือ คนที่ไม่เคยเรียนหนังสือเลย ก็เปิดหนังสืออ่านไม่ได้ เพราะไม่ได้สร้างตัวสติ ไม่ได้สร้างตัวเตือนไว้ แต่ถ้าเราสร้างสติไว้ เรียนหนังสือไว้ เราก็จะอ่านออกว่า ตัวหนังสือเขาเขียนว่า อย่าไปทำอย่างนี้นะ เขาจะเอาเข้าคุก ก็เลิกทำ ไม่ทำ

สวัสดี