เชื้อร้ายใน 'ถ้ำ' ลึก

ไม่ว่าสิ้นสุดการค้นหาจะเป็นอย่างไร แต่การเฝ้าระวังยังต้องมีต่อ เพราะในความมืดของถ้ำ มีภัยร้ายซ่อนอยู่
ไม่ได้มีแค่ความมืด ความหนาวเย็น และความหิวโหย แต่การต้องมีชีวิตติดอยู่ในถ้ำมีอันตรายมากกว่านั้น
หมอล็อต - นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่าระบบนิเวศในถ้ำเปรียบเสมือนอีกโลกหนึ่งซึ่งน้อยคนจะเข้าไป โดยเฉพาะการเข้าไปอยู่นานๆ ระบบนิเวศในนั้นเต็มไปด้วยความชื้น มีออกซิเจนน้อย อากาศน้อย อาจมีก๊าซซัลเฟอร์ด้วยในกรณีมีธารน้ำร้อน และมีแอมโมเนียมากจากสิ่งปฏิกูลสัตว์ เช่น ค้างคาว เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ปริมาณออกซิเจนในถ้ำน้อยลงไปอีก ยิ่งถ้ำไหนแสงแดดส่องไม่ถึง หรือไม่มีโพรง ถ้ำเหล่านั้นยิ่งมีปัญหา
ส่วนถ้ำที่มีโถงน้ำ มีธารน้ำไหล โดยเฉพาะช่วงน้ำหลากจะทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมถ้ำ ซึ่งกรณีแบบนี้เกิดขึ้นเป็นปกติ เพียงแต่คนรับรู้เรื่องถ้ำยังน้อยอยู่
“ถ้ำเหมือนอีกโลกที่ลึกลับซับซ้อน ในขณะเดียวกันถ้ำคือสถานที่สะสมเชื้อโรค พอพูดถึงเชื้อโรค ชีวิตประจำวันของมนุษย์ก็มีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคอยู่แล้ว ถ้ามากก็เจ็บป่วย ถ้าสัมผัสน้อยร่างกายจะรู้จักเชื้อโรคแล้วกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน แต่กรณีของเชื้อโรคในถ้ำ คนไม่เคยรู้ ไม่เคยสัมผัส พอเข้าไปในถ้ำหรือต้องคลุกคลีเชื้อโรคเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดโรคในคนหรือเจ็บป่วยขึ้นมา ซึ่งเชื้อโรคบางชนิดเรารู้จักแต่อีกหลายชนิดเราไม่เคยเจอมัน”
เขาอธิบายว่าเชื้อโรคส่วนมากคือเชื้อราต่างๆ และเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียในดิน ตามซอกหิน เชื้อเหล่านี้เป็นประเภทไม่ต้องอาศัยออกซิเจนมากเพื่อดำรงชีวิต เช่น บาดทะยัก คลอสตริเดียม
และอีกปัจจัยเสี่ยงคือสัตว์ที่อาศัยในถ้ำอย่างค้างคาว จากการศึกษาวิจัยพบเชื้อโรคในตัวค้างคาวมากกว่า 40 ชนิด เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อมโรค
“แม้แต่เห็บ หมัด ไร บนตัวค้างคาวก็เป็นตัวนำโรค จากการเก็บข้อมูลพบว่าในช่วงหน้าฝน ช่วงน้ำหลาก เราพบเชื้อโรคเชื้อไวรัสในค้างคาวมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ค้างคาวมีภาวะเครียด เนื่องจากถ้าฝนตกมันจะออกไปหากินไม่ได้ สองเมื่อฝนตกน้ำท่วมในถ้ำก็มีปัญหาต่อการดำรงชีวิต กรณีของสัตว์ที่เครียด ร่างกายจะอ่อนแอ มีโอกาสติดเชื้อหรือพบเชื้อในร่างกายค้างคาวมากขึ้น” หมอล็อตบอก
คำถามที่หลายคนสงสัยว่าในกรณีที่ถ้ำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจะมีความเสี่ยงหรือไม่ เขาบอกว่าต้องแยกเป็นกรณีไป เพราะถ้ำที่เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจะมีการทำความสะอาด มีระบบระบายอากาศ มีระบบสุขอนามัย และไม่ได้เข้าไปลึกถึงขั้นต้องคลุกคลีกับสิ่งปฏิกูลสัตว์ และไม่มีการให้คนค้างแรมในถ้ำ คนที่เที่ยวถ้ำก็กลับบ้าน อาบน้ำ ล้างมือ จึงไม่มีความเสี่ยง
แต่ในกรณีการติดอยู่ในถ้ำ เป็นเวลานาน นี่คือกรณีที่ต้องให้ความสำคัญ...
“เพราะพวกเขาไปอยู่ในพื้นที่ที่มีสัตว์อมโลก ในขณะเดียวกันสุขภาพร่างกายของผู้ประสบเหตุ ขาดน้ำขาดอาหาร ความเครียด อากาศกลางคืนที่หนาวเย็น หรืออาจมีการบาดเจ็บต่างๆ ออกซิเจนที่น้อย ฝุ่นละออง สิ่งเหล่านี้มีโอกาสติดต่อสู่ผู้ที่อยู่ในถ้ำนานๆ ยิ่งอยู่นาน ภูมิคุ้มกันก็ยิ่งลดน้อยลง”
ระยะเวลาที่ยาวนานเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่ที่เสี่ยงยิ่งกว่าคือการที่ต้องสัมผัสกับสิ่งปฏิกูลของค้างคาวก็อาจอันตรายเกินคาดคิดโดยไม่ต้องสนใจเงื่อนไขของเวลา หมอล็อตยกตัวอย่างอันน่าเป็นห่วงว่า การดื่มน้ำนี่ละสุดเสี่ยง!
“ทางรอดที่เขาจะเอาตัวรอดได้คือดื่มน้ำ และน้ำที่เขาจะดื่มได้ช่วงนี้คืออะไร น้ำในถ้ำเวลาฝนตกจะขุ่น มีสิ่งปฏิกูล มีโคลน แต่น้ำที่คนติดถ้ำนึกถึงและจะดื่มกินคือน้ำที่หยดตามหินในถ้ำ นี่แหละน่ากลัว เพราะค้างคาวเกาะตามเพดานถ้ำ จึงเสี่ยงที่จะรับเชื้อโรคพวกนี้เข้าไปโดยตรง สภาพแวดล้อมและระยะเวลามีผลอย่างยิ่งต่อการกำหนดมาตรการสำหรับการดูแลพิเศษของผู้ที่ติดอยู่ในถ้ำ จึงเป็นที่มาของการจัดพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ”
พื้นที่เฝ้าระวังพิเศษรวมถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีนี้
“ต้องลดการสัมผัสกับบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง แม้กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์ที่เข้าไปช่วยเหลือก็ต้องมีระบบป้องกัน เช่น ถุงมือ แว่นตา หน้ากาก ตัวผู้ประสบเหตุก็ต้องมีเช่นกันเพื่อป้องกันการติดต่อโรค
สำหรับขั้นตอนหลักคือ การช่วยเหลือ ปฐมพยาบาล รักษาพยาบาลเป็นปกติ แต่จะมีข้อพิเศษคือ ถ้าผู้ประสบเหตุอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อโรคอุบัติใหม่ มาตรการจะเพิ่มเติมคือลดการสัมผัสกับบุคคลไม่เกี่ยวข้อง มีการคัดกรองและเฝ้าระวัง แบ่งเป็นสองรูปแบบคือ หนึ่ง ถ้าใครร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการป่วย ก็จะให้น้ำเกลือ ดูแลบำรุงร่างกาย เก็บสิ่งส่งตรวจ ได้แก่ เลือด ปัสสาวะ สารคัดหลั่ง แล้วอาจปล่อยกลับบ้านได้ โดยมีบุคลากรทางการแพทย์เฝ้าดูแลที่บ้านอย่างน้อย 7 วัน ถ้าเกิดมีอาการก็จะรีบนำไปห้องดูแลพิเศษ
สอง กรณีคนที่แสดงอาการชัดเจน คนเหล่านี้เรามีห้องคัดกรองพิเศษ เพื่อไม่ให้ไปสัมผัสกับใคร หมอที่เข้าไปดูแลก็ต้องมีระบบปกป้องตัวเอง”
สำหรับสิ่งที่ต้องเก็บส่งตรวจมีดังนี้ เลือด EDTA, เลือด clot blood, Urine, nasopharyngeal swab + throat swab และ Rectal swab หรืออุจจาระ
คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษคือ ‘เจ้าหน้าที่’ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายวัน การทำงานวันละ 24 ชั่วโมง ร่างกายทุกคนสะสมความอ่อนล้า ทั้งแบกหาม นำเครื่องมือช่วยเหลือต่างๆ เข้าไปข้างใน ในบางจุดเปิดพัดลมเพื่อระบายอากาศ ข้อดีคือระบายอากาศ แต่ข้อเสียคือเชื้อโรคฟุ้งกระจายด้วยเช่นกัน เจ้าหน้าที่จึงต้องได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งสุขอนามัย อาหารการกิน ที่หลับที่นอน ทุกอย่างต้องสะอาด มาตรการสำคัญเหล่านี้คือ ‘การป้องกัน’
นายสัตวแพทย์ภัทรพลบอกว่า กรณีนี้บริบทของเหตุการณ์ไม่เหมือนที่ไหนในโลก เพราะผู้ประสบอุบัติเหตุหรือพลัดหลงกรณีอื่นๆ ติดเกาะก็อยู่บนเกาะ หลงป่าก็อยู่ในป่า สภาพแวดล้อมไม่ได้จำกัดเหมือนอยู่ในถ้ำ ไม่เสี่ยงด้วยแหล่งเชื้อโรค บริบทของเหตุการณ์นี้จึงไม่เหมือนที่ใดมาก่อน จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั่วโลกจับตาและส่งทีมเข้ามาค้นหาและช่วยเหลือ ส่วนหน่วยงานของไทยก็พร้อมรับมือมาก
“เราเตรียมรถพยาบาล 13 คัน แพทย์ 13 ทีม มีระบบป้องกัน พอได้ตัวมาปุ๊บเราแยกคนแยกคัน ใครมีอาการอะไรก็เข้าห้องเฝ้าระวังพิเศษ คนไม่เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิสัมผัส อย่างน้อย 7 วัน เพราะเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อโรคที่ทำให้เกิดปอดอักเสบหรือไข้สมองอักเสบ ใช้เวลาแสดงอาการ 9-21 วัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากได้รับการตรวจเลือดจะรู้เร็วกว่านั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมต้องอย่างน้อย 7 วัน”
เมื่อเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเหตุการณ์อื่นทั่วโลก หมอล็อตบอกว่าจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่เมื่อเกิดเหตุแบบนี้อีกในอนาคต ขั้นตอนการทำงานต่างๆ เกิดจากการต่อยอดของการวิจัยที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่สำรวจและเฝ้าระวังโรคอุบัติใหม่ในค้างคาวประเทศไทย สู่การปฏิบัติชัดเจน
“แต่ที่ผ่านมาน่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามีความเสี่ยง ผมจึงนำข้อมูลงานวิจัยไปสื่อสารกับคนเหล่านี้ผ่านช่องทางต่างๆ ประสานข้อมูลเป็นลำดับจนมาถึงพื้นที่ พอเป็นแบบนี้พื้นที่ก็ตอบสนองได้เร็วมาก จนนำมาสู่มาตรการเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพได้อย่างดี ตอนนี้หลายคนเข้าใจมากขึ้น และจะเป็นมิติใหม่อีกขั้นหนึ่งของระบบสาธารณสุขไทย”
ไม่ว่า 13 ชีวิตในถ้ำจะเผชิญอะไรมาบ้าง แต่ทุกฝ่ายทุกความห่วงใยนำมาซึ่งความพร้อมในการดูแลช่วยเหลือในทุกรูปแบบอย่างสุดความสามารถ ...ต่อให้ในถ้ำมีเชื้อร้ายแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเกินไปเมื่อมีความรู้เท่าทันและพร้อมป้องกัน







