เสียงธรรมอันไพเราะ

พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา สร้างสรรค์บทเพลงที่เนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยไม่สนใจกระแสดนตรีแห่งยุค
ชายหนุ่มคนหนึ่งใช้เวลาว่างจากการงาน ลุกขึ้นมาสร้างสรรค์บทเพลงที่เนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะร้อยเปอร์เซ็นต์ 'แอ๊ด - พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา' หาญกล้าปลุกปั้นเสียงแห่งพระธรรมให้กลายเป็นอัลบั้มเต็มโดยไม่สนใจกระแสดนตรีแห่งยุค
เสียงเพลงเสียงดนตรีมีหน้าที่ขับกล่อมมวลมนุษย์มาตั้งแต่ครั้งโบราณ เสียงแห่งพระธรรมก็เช่นกันที่พระพุทธองค์ทรงเผยแผ่เพื่อให้มนุษย์พ้นทุกข์โดยทั่วกัน...ในวันที่เสียงดนตรีและเสียงแห่งธรรมมาบรรจบกัน การเผยแผ่พระศาสนาจึงเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่มชั้น
เมื่อกล่าวถึงเสียงเพลงเผยแผ่พระศาสนา คนส่วนมากย่อมนึกถึงเสียงเพลงในโบสถ์ศาสนาคริสต์ แต่สำหรับพุทธศาสนาเรื่องบันเทิงกับพระธรรมดูจะเป็นเส้นขนานกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่สำหรับ แอ๊ด - พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา' เขาขันอาสาเป็นผู้สร้างสรรค์บทเพลงแห่งพุทธธรรมมาได้กว่าสิบปีแล้ว
"ผมทำเพราะใจรักมากกว่า วัยรุ่นจะมีช่องว่างระหว่างวัยรุ่นกับธรรมะที่ยากนิดหนึ่ง เราก็คิดว่าถ้ามีเพลงที่ทำให้ธรรมะมาใกล้วัยรุ่นได้น่าจะดีต่อเยาวชน ก็เลยตัดสินใจทำ"
ด้วยธรรมบันดาลใจ
พิสุทธิ์ เล่าว่าได้แรงบันดาลใจแต่งเพลงจากธรรมชาติของเขา นั่นคือ การอ่านหนังสือของท่านพุทธทาส อินทปัญโญ หรือ พุทธทาสภิกขุ ร่วมกับการอ่านหนังสือของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์ ด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับสวนโมกข์ หลักธรรม ทำให้เขาซึมซาบในที่สุด
"เราอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสมาก ตอนผมอายุ 20 ผมอ่านหนังสือของ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เล่าเรื่องสวนโมกข์กับชีวิตที่ อ.เนาวรัตน์ บวชในปี 2510 ซึ่งเป็นปีที่ผมเกิดพอดี แล้วเขาก็เล่าเรื่องสวนโมกข์เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ท่านพุทธทาสเป็นอย่างนี้ ที่นั่นเป็นโบสถ์ไม่มีหลังคา ผมก็เลยสนใจแล้วก็ไล่อ่าน พอไล่อ่านมากๆ เหมือนมันอิน ตอนเราวัยรุ่นเราแต่งเพลงรักโลภโกรธหลง พอหยิบกีต้าร์ขึ้นมามันออกมาเป็นเพลงธรรมะโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เช่น เพลงมรณานุสติ เพลงเรื่องนิดเดียว"
หลังจากนั้นพิสุทธิ์ค่อยๆ บ่มกลั่นธรรมะตามความเข้าใจออกมาเป็นบทเพลงทีละเพลงสองเพลง กระทั่งครบสิบเพลง บรรดามิตรานุมิตรที่ทราบเรื่องก็ส่งเสริมให้เขาเผยแผ่บทเพลงแห่งธรรมสู่สาธารณะเพื่อเป็นประโยชน์ ทว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะก็รู้กันดี...เพลงแนวนี้ขายไม่ได้
"ตอนนั้นลำบากมากเลย เพราะไม่มีโปรดิวเซอร์ที่ไหนรับทำ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าถ้าทำได้ก็ดี ถ้ามีคนช่วยทำได้ก็ดี แต่มันจะมีหรือเปล่า ตอนนั้นทำงานไปเป็นลูกจ้างเขาอยู่ ทำงานไป ตอนเที่ยงก็โทรไปหาค่ายเพลง มีงานนำเสนอนะ เชื่อไหมแทบจะทุกค่ายเพลง หรือสังกัดที่เรารู้จัก เขาไม่รับทำเลย เพราะมันไม่ขายไง แต่เขาก็พูดดีนะ พูดด้วยความเมตตาว่าถ้าน้องว่างเอาเดโมมาดรอปไว้ที่ไปรษณีย์แล้วกัน จะดูให้ เราก็รู้ว่าถ้าพูดอย่างนั้นคงไม่ได้ทำ ก็เลยไม่เคยไปดรอปที่ไหนเลย"
"จนกระทั่งวันหนึ่งเจอโปรดิวเซอร์ที่เขาค่อนข้างใจดี ชื่อ คุณเทิดศักดิ์ จันทร์ปาน เขารับทำงานนี้ขึ้นมาโดยที่เขาเปลี่ยนเสียงดนตรีของผมให้วัยรุ่นมากขึ้น และระดมคนประมาณ 25 คน ทั้งนักร้อง นักดนตรี นักออกแบบปก มาทำเป็นอัลบั้ม"
ด้วยธรรมนำสำเร็จ
เมื่อย้อนไปดูความตั้งใจในหนแรกของพิสุทธิ์ เขาเพียงต้องการเผยแผ่ธรรมะผ่านบทเพลงเพื่อเข้าถึงวัยรุ่นได้ง่าย แต่เมื่อการเดินทางบนสองเส้นทางคู่ขนานทั้งเส้นทางดนตรีและทางธรรม มาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ เขาจำต้องน้อมพร้อมรับสภาพ หากอัลบั้มนั้นขายไม่ได้ หรือที่เรียกว่า "เจ๊ง!"
"เราไม่มีความคาดหวังในเรื่องของตัวเงินเลย โครงการเหล่านั้นเป็นโครงการบุญโดยแท้จริง เพราะเงินมาจากผมคนเดียวเลย ก็ทำออกไป ขาดทุนไม่เป็นไร ขาดทุนกระเป๋าผม ถ้ากำไรก็เขียนบอกไว้ว่าจะเอาไปบริจาควัด อาทิ วัดชลประทานฯ วัดสวนโมกข์ ฯลฯ โครงการนั้นโชคดีครับมีกำไร ก็เลยเอาไปบริจาค วัดแรกที่ไปบริจาคก็คือวัดสวนแก้ว"
นอกจากอัลบั้มไม่ขาดทุน บทเพลงของเขายังดังไกลไปถึงเวทีต่างๆ อีกด้วย...
"อัลบั้มนั้นได้รับรางวัลจากนิตยสารชื่อแฮมเบอร์เกอร์ รางวัลที่สองก็คมชัดลึกอวอร์ด รางวัลที่สามก็คือต้นโพธิ์ทอง เป็นองค์กรเล็กๆ ทางด้านพุทธศาสนา รู้สึกว่ารางวัลรองจากผมจะเป็นบุดด้าเบลส" พิสุทธิ์กล่าวอย่างปลื้มใจ
ด้วยความสำเร็จด้านรางวัลและผลกำไร อาจไม่น่ายินดีเท่ากับความรู้สึกอิ่มเอมของทีมงานซึ่งยอมร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับอัลบั้มที่ใครๆ ก็มองว่าขายไม่ได้ในแฟชั่นดนตรี
"ทุกคนที่ร่วมงานก็รู้สึกหายเหนื่อย มันสำเร็จแล้ว โปรดิวเซอร์มาบอกผมว่าพี่แอ๊ด สำเร็จแล้วนะงานนี้ เราก็บอกเขาว่าเงินที่ทำบุญไปเนี่ยเป็นบุญส่วนน้อยนะ ธรรมะที่อยู่ในเพลงนั่นแหละคือธรรมทานที่แท้จริง"
พิสุทธิ์เล่าว่าส่วนสำคัญของความสำเร็จครั้งนี้ต้องยกให้ เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน โปรดิวเซอร์มือฉมัง แม้เทิดศักดิ์จะไม่ใช่นักปฏิบัตินุ่งขาวห่มขาวตัดผมสั้นเกรียนหรือเคร่งพระธรรมจนหลุดพ้นทุกข์ แต่เขาคือคนหนึ่งที่เข้าใจธรรมะด้วยธรรมชาติ
"เขาศึกษาธรรมะโดยธรรมชาติ รู้ว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เขาก็เคยบอกผมว่าอัลบั้มธรรมะไม่ใช่ของใหม่ เคยมีคนทำแต่ใส่ไปเพลงสองเพลง เช่น อัสนี วสันต์ ก็เพลง ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ประมาณนั้น แต่คนที่ทำเพลงธรรมะเต็มอัลบั้มเลยโดยไม่สนใจว่าจะเจ๊งไม่เจ๊ง ชุดนี้น่าจะเป็นชุดแรก"
ธรรมดาของลำดับขั้นความสำเร็จ เมื่อเริ่มติดลมบนสิ่งต่างๆ มักจะตามเข้ามาในชีวิต สำหรับนักอ่านอย่างพิสุทธิ์ หลังจากเพลงของเขาสร้างชื่อจนเป็นที่รู้จัก งานเขียนหนังสือจึงเข้ามาเป็นอีกช่องทางเผยแผ่ธรรมะ
"หนังสือเป็นผลพวงมาจากเพลงธรรมะ พอสังคมรู้จักเราปั๊บ สำนักพิมพ์สุขภาพใจเขาก็สนใจ แล้วบังเอิญเราเป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ เขาก็บอกว่าพี่แอ๊ดลองเอาต้นฉบับที่เคยเขียนมาให้หน่อยสิ ก็เอาไปให้เขา แล้วทิ้งไปสักหนึ่งปีนะ บ.ก.เขาพิจารณาว่าใช้ได้ไหม ถูกทางไหม พอเขาพิจารณาว่าใช้ได้ก็ทำเป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตผมเลย คือ ธรรมะชิวๆ หนังสือธรรมะร้องเพลงได้ ในนั้นมีหนังสือและซีดีเพลงทั้งหมดที่เคยทำใส่เข้าไป เป็นธรรมทานอีกหนึ่งอย่าง"
สนทนาพาธรรม
ถึงตรงนี้เราได้เห็นจุดโน้ตตัวแรกในเพลงธรรมะของพิสุทธิ์แล้ว และยังได้ร่วมรับรู้ความสำเร็จของความมุ่งมั่นเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างไม่ยี่หระต่อกระแสสังคมที่ทัดทาน ยังมีอีกหลายมุมความคิดของผู้ชายคนนี้ที่น่าสนใจและน่าติดตาม...
กายใจถามพิสุทธิ์ว่าก่อนทำเพลง เขาเคยศึกษาธรรมะมาระดับหนึ่งใช่หรือไม่ นักแต่งเพลงธรรมะ กล่าวว่า เขาศึกษามาระดับหนึ่ง ไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์และวัดอื่นๆ เป็นความสนใจ อาจเพราะชีวิตเคยทุกข์มาตั้งแต่เด็ก พอเจอทุกข์ก็เลยเรียนรู้ว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ สมัยอายุ 16 ญาติคนที่เขารักที่สุดไปฆ่าตัวตาย นั่นเป็นเรื่องหนึ่งที่เหมือนเป็นคลื่นสึนามิแห่งทุกข์ซัดมาแล้วทำให้รู้สึกว่า ทำไมคนที่เรียนหนังสือดี เป็นผู้นำ เป็นแบบอย่างที่ดี ทำไมถึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย ซึ่งตอนนั้นพิสุทธิ์ก็ค่อยๆ หาคำตอบด้วยตัวเอง แล้วด้วยความที่พ่อเป็นคนจีน แม่เป็นคนไทย และพ่อแม่สมัยก่อนไม่ค่อยใกล้ชิดลูก เพราะฉะนั้นเวลามีปัญหาก็ต้องนั่งคิดหาเหตุผลด้วยตัวเอง หลังจากเหตุการณ์นั้น 20 กว่าปีต่อมา เขาก็เขียนหนังสืออีกเล่มชื่อ ธรรมะชิวๆ 2 เกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้คนคิดสั้น
"มันเป็นปมที่เราอยากหาคำตอบให้ชีวิตว่าทำไมเราชาวพุทธถึงเอาธรรมะมาใช้ได้ไม่ทันท่วงที ทั้งๆ ที่ญาติผมคนนั้นแก่กว่าผมแค่สี่ปี ทำไมเขาตัดสินใจแบบนั้นทั้งที่เขารู้ธรรมะมาก่อน แต่เวลาปัญหาเกิดขึ้น หยิบธรรมะมาใช้ไม่ทัน คนคิดสั้นหรือคนที่เป็นโรคประสาท ถ้าเขาคิดทันเขาจะไม่เป็นแบบนั้น แต่เขาหยิบมาใช้ไม่ทันจึงเกิด"
แล้วเราจะทำอย่างไรให้ธรรมะขยายผลออกไปกว้างที่สุด เพลงนี่กว้างมากนะ ใครล้างจานอยู่ ล้างส้วมอยู่ เสียงเพลงก็เข้าไปได้ เสียงเพลงอยู่นอกกำแพงวัด ขับรถอยู่ก็ฟังได้หมด เพลงที่เข้าไปจะจับข้อธรรม ยิ่งฟังบ่อยยิ่งซึมโดยธรรมชาติ และเขาน่าจะหยิบมาใช้ได้ทันท่วงทีเมื่อเจอปัญหา นี่คือวัตถุประสงค์ที่เราอยากทำสื่อธรรมะให้กว้างที่สุด"
สิ่งที่ได้จากธรรมศึกษา
พิสุทธิ์เล่าต่อว่า คนเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่สุดแล้วมนุษย์ไม่มีตัวตน เมื่อคิดได้อย่างนั้น พอไม่มีตัวตน อัตตาก็จะลดลงต่ำ พอความทุกข์ผ่านเข้ามาก็จะสัมผัสตัวคนนั้นได้น้อยมาก และที่สุดแล้ว ทุกข์ทำอะไรกับผู้มีปัญญาไม่ได้เลย เพราะความทุกข์มันก็ตั้งอยู่อย่างนั้น มันจะเริ่มทำงานต่อเมื่อคนๆนั้นแบก ดังนั้นพอเผลอแบกแล้ววางได้ เรื่องก็จะจบ นี่เป็นวิธีที่พยายามสรุปให้ง่ายที่สุด แต่จริงๆ แล้วนั้น คำสอนของพุทธองค์มีหลายแง่มุมมากถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ ซึ่งสามารถจัดการความทุกข์ของคนบนโลกนี้ได้ทุกชนิด
"อัตตา ถ้าเป็นท่านพุทธทาสพูดได้ชัดเจนที่สุดคือตัวกูของกู มีอะไรมาก็แบกเป็นตัวเราไปเสียหมด ความเป็นตัวตนอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ความยึดมั่นห่วงไปหมด เคยเห็นไหมคนแก่ห่วงลูก ลูกแต่งงานมีหลาน ห่วงต่อว่าหลานจะเข้าโรงเรียนอย่างไรต่อ แต่งงานอย่างไรต่อ คล้ายว่าทุกสิ่งพัวพันเป็นของเราหมด มันทุกข์ไม่จบ สิ่งเดียวที่จะจบได้คือปล่อยวาง อย่างที่ท่านพุทธทาสเคยพูดเสมอว่าสรรพสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทำงานด้วยจิตว่างถึงจะได้งานที่มีคุณภาพดี ถ้าเราทำได้จะพบความสุขที่นี่และเดี๋ยวนี้เลย"
"การทำงานด้วยจิตว่างไม่ใช่หมายความว่าทำสบายๆ ขี้เกียจๆ การทำงานด้วยจิตว่างมันมีพลัง ไม่ใช่ว่างแบบไร้สาระ พอจิตเราว่างจะเต็มไปด้วยไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เราจะทำงานได้มากกว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำไป ถ้าใช้แรงขับทางปัญญา พลังจะมากกว่าคนที่ทำงานด้วยแรงขับทางกิเลสด้วยซ้ำไป แต่ความทุกข์น้อยกว่า"
ความสุขของนักแต่งบทเพลงธรรม
ศิลปินหนุ่มเผยว่า ความสุขของเขาคือความปล่อยวาง ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความไม่มีตัวตน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถ่อมตัวว่ายังทำไม่ได้ดั่งตั้งใจ แค่หมั่นเตือนสติตัวเองเสมอ ดังนั้นเวลาฝึกมากๆ เขาก็จะสังเกตตัวเองได้ว่าเขารู้สึกใจเย็นมากขึ้น แม้ว่าอาจจะยังโกรธอยู่ แต่โกรธแล้วยังรู้ตัวแล้วหายโกรธเร็วขึ้น แล้วก็จะเมตตาไปทั่วหมด เมตตาได้แม้แต่ศัตรู
"ตอนนี้พยายามปล่อยวางให้ได้มากที่สุด พอเผลอคิดขึ้นมาว่าผลงานเพลงของเราเมื่อปี 2547 มันได้รับรางวัล ก็ดีใจ พอดีใจปั๊บมีพระอาจารย์ท่านหนึ่งมาเตือน ตอนนั้นเราหลงใหลได้ปลื้ม มีสื่อมาหาเราหลายสิบสื่อ แต่พอเราเจอพระอาจารย์ท่านได้เตือนสติเราว่า ภาวนาไปถึงไหนแล้ว ท่านไม่ถามเลยว่าผลงานเป็นอย่างไร เราสะดุ้งเลย ก็เริ่มรู้ตัวว่าแสดงว่าเราไปแบกอัตตาไว้ ต้องรีบยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น แล้วมันก็จะว่าง"
พิสุทธิ์ บอกต่อว่า เทคนิคปล่อยวางนั้น ให้คิดไว้เสมอว่าคนเราเหยียบอยู่บนผืนดินผืนหญ้า มาจากธรรมชาติ อย่าลืมตัวว่าอยู่ห่างธรรมชาติ เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนก็ต้องคืนสู่ธรรมชาติ
"เมื่อไรลืมตัวก็ลองนุ่งกางเกงขาสั้น ไม่สวมรองเท้า แล้วนั่งอยู่บนผืนหญ้าผืนดิน เอามือจับผืนดิน แล้วเราจะรู้สึกว่าแท้ที่จริงแล้ว เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีอะไรเลย แล้วเราจะว่างโล่ง คนไหนรวยกว่าเราก็อนุโมทนาด้วย คนไหนคอร์รัปชั่นบ้านเมืองก็เตือนสติเขา เขียนบทความว่าไม่ควรทำ ช่วยกัน แต่เราจะไม่ไปอิจฉาเขา ใครจนกว่าเราก็เมตตาเผื่อแผ่ ทำแบบนี้เรื่อยๆ แล้วมันจะว่างเหมือนใจเราร่มเย็น แนวเดียวกับทำใจให้เป็นโพธิสัตว์ ไม่ใช่ว่าเราเป็นโพธิสัตว์ แต่เราทำใจเป็นผู้ให้ มันจะสบาย แล้วมันแปลกตรงที่ว่าคนที่คิดแบบนี้จะไม่ค่อยลำบาก จะไม่รวยหวือหวา แต่จะไม่ลำบาก"
"นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อมั่นเสมอมา ผมไม่เคยกลัวอะไรเลย แม้แต่กลัวตายก็ไม่กลัว เราเลือกเกิดไม่ได้ เราเลือกตายก็ไม่ได้ เราต้องเลือกที่จะเข้าใจสัจธรรมของกระบวนการเกิดและตาย เมื่อเข้าใจแล้วจะรู้ว่ามันไม่มีตัวตน เราอยู่อย่างมากก็ไม่เกินร้อยปี พอเราเข้าใจสิ่งนี้แท้ที่จริงไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตาย ถ้าเราเข้าถึงจุดนี้ได้ หรือพยายามเข้าใจด้วยปัญญาเรื่อยๆ เราก็จะไม่มีความทุกข์ ไม่กลัวตาย ท่านพุทธทาสเคยเขียนไว้ในหนังสือแก่นพุทธศาสน์ ท่านบอกว่าสมมติว่าเราตายอย่างกะทันหัน เช่น เราเดินไปตามท้องนาแล้วควายวิ่งมาขวิดตาย คนอื่นเรียกว่าตายโหง แต่สำหรับคนที่ฝึกจิตมาแล้วเขาถือว่าให้น้อมใจคิดไปว่าดับไม่เหลือไปเลย มันก็จะว่างไป"
...
บทสนทนาจบลง พิสุทธิ์ยังคงจับกีต้าร์ตัวโปรดอย่างมั่นมือ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขายังคงเลือกทางเดินคู่ขนานระหว่างเส้นทางดนตรีและทางธรรม เพียงแต่ในวันนี้เขาได้ใช้ความมุมานะและศรัทธา บีบเส้นทางที่เคยขนานคอดเข้าหากัน
และบรรจบกันอย่างพอเหมาะ...ไพเราะ







